หากความฝันของคุณคือการเป็นเจ้าของร้านอาหารสักร้าน การทำความเข้าใจว่าร้านอาหารมีกี่ประเภทก็ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ
ปัจจัยการแบ่งประเภทร้าน
- รูปแบบเมนู
- วิธีการเตรียม
- ราคา
- ตัวเลือกที่นั่ง
- วิธีการเสิร์ฟอาหารให้กับลูกค้า
11 ประเภทร้านอาหารที่พบบ่อยที่สุดในปัจจุบัน
1. ร้านอาหารแบบสบายๆ (Casual Dining)
ร้านอาหารแบบสบายๆ เสิร์ฟอาหารอาลาคอาร์ตในราคาปานกลาง ร้านอาหารที่รับประทานอาหารแบบสบายๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารในเครือหรือเป็นเจ้าของโดยอิสระ จะสามารถแบ่งย่อยไปอีกตามสัญชาติ เช่น อาหารไทย อาหารจีน อาหารญี่ปุ่น
2. ร้าน Fine Dining
ร้านอาหาร Fine Dining จะมีบริการที่เอาใจใส่ในบรรยากาศห้องรับประทานอาหารที่เป็นทางการมากกว่าร้านอาหารแบบสบายๆ อาหาร Fine Dining มักจะใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงกว่า ทำให้มีราคาแพงกว่าร้านอาหารแบบสบายๆ และมักประกอบด้วยอาหารหลายคอร์ส เช่น เริ่มด้วยไวน์หรือค็อกเทล อาหารเรียกน้ำย่อย สลัด จานหลัก เครื่องเคียง ไปจนถึงของหวาน
3. ร้านอาหารแบบครอบครัว (Family-style Restaurant)
ร้านอาหารแบบครอบครัวเสิร์ฟอาหารไซส์ใหญ่เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มใหญ่แบ่งกันทาน ร้านอาหารประเภทนี้มักจะให้บริการในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย อาหารบางประเภทที่เหมาะสำหรับการรับประทานอาหารแบบครอบครัว เช่น อาหารอิตาเลียน-อเมริกัน อาหารจีน และอาหารอเมริกันแบบดั้งเดิม เนื่องจากอาหารเหล่านี้มักประกอบด้วยอาหารจานใหญ่ที่แบ่งกันทานได้
4. ร้าน Fast-casual
ร้านแบบนี้มักจะให้บริการที่เคาน์เตอร์แทนบริการที่โต๊ะ และส่วนใหญ่จะเสิร์ฟแซนด์วิช เบอร์เกอร์ เบอร์ริโต และสลัด ประสบการณ์การรับประทานอาหารประเภทนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีความสมดุลระหว่างคุณภาพของอาหารที่ดีกว่าฟาสต์ฟู้ดทั่วไปแต่ยังคงความเร็วของอาหารจานด่วน
5. ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด
ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดจะเสิร์ฟอาหารราคาประหยัดอย่างรวดเร็วจากเคาน์เตอร์หรือแบบไดร์ฟทรู ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดมีเมนูอาหารที่ผลิตในปริมาณมากซึ่งมักจะปรุงล่วงหน้าเพื่อให้บริการที่รวดเร็ว
6. รถขายอาหาร (Food Truck)
Food Truck จะเสิร์ฟอาหารราคาปานกลางซึ่งสั่งทำจากห้องครัวเต็มรูปแบบภายในรถ และมักจะให้บริการที่เคาน์เตอร์และไม่มีที่นั่ง รถขายอาหารมักจะขายแค่อาหารประเภทใดประเภทหนึ่ง เช่น ทาโก้ บาร์บีคิว ฮอทดอก ชีสย่าง หรือไอศกรีม และจะขับรถไปยังสถานที่ใหม่ๆ ที่สะดวกสำหรับลูกค้า เช่น สำนักงาน ตลาดนัด หรืองานส่วนตัว รถขายอาหารเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการทดสอบว่าร้านอาหารแนวที่อยากทำจะไปรอดไหม เนื่องจากใช้พนักงานน้อยและมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าร้านที่ต้องมีหน้าร้าน
7. ร้านอาหารแบบป็อปอัพ
ร้านอาหารแบบป็อปอัพเป็นร้านที่เปิดแค่ชั่วคราวบนพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง โดยมักจะมีแค่เคาน์เตอร์ให้สั่งอาหารหรือมีที่นั่งน้อย ข้อดีของร้านอาหารแบบป็อปอัพคือช่วยให้เชฟและเจ้าของธุรกิจได้ทดสอบร้านโดยไม่ต้องทำสัญญากับอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากและเช่าพื้นที่จริง
8. บาร์และผับ
บาร์หรือผับเป็นร้านเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นหลัก และมักมีเมนูอาหารให้เลือกไม่มาก ร้านอาหารบางที่ก็มีพื้นที่บาร์ แต่บาร์สามารถเป็นร้านแบบสแตนด์อโลนได้เช่นกัน
9. คาเฟ่
คาเฟ่มีเคาน์เตอร์บริการกาแฟหลากหลายประเภท เช่น เอสเปรสโซ คาปูชิโน่ และลาเต้ บางครั้งก็เสิร์ฟอาหารแบบสบายๆ เช่น แซนวิช สลัด และขนมอบด้วย
10. บุฟเฟ่ต์
ในร้านอาหารสไตล์บุฟเฟ่ต์ ลูกค้าจะบริการตัวเองโดยเลือกรายการอาหารต่างๆ บนบาร์หรือเรียกพนักงานมาเสิร์ฟได้ไม่จำกัดภายในระยะเวลาที่กำหนด
11. Chef’s Table
ร้านเชฟส์เทเบิ้ล คือร้านอาหารที่เสิร์ฟเมนูตามใจเชฟ ส่วนใหญ่มักจะนั่งรับประทานกันที่โต๊ะยาวหน้าครัวเปิด โดยผู้ที่กำหนดงบต่อหัวและสไตล์อาหารจะเป็นทางเชฟเองหรือทางแขกที่นัดล่วงหน้าก็ได้ แล้วเชฟก็จะรังสรรเมนูตามที่ตกลงกันไว้
หัดทำเมนูง่ายๆ แต่ได้รสชาติเหมือนร้าน Chef’s Table ไปพร้อมกับเชฟบิ๊ก อรรถสิทธิ์ พัฒนเสถียรกุล เจ้าของร้านอาหาร Chef’s Table และเจ้าของเพจ “อยากทำแต่ไม่อยากกิน” ได้ในคอร์ส “The Taste of Home Cooking – เริ่มต้นความอร่อยจากครัวที่บ้าน”
อ้างอิง https://bit.ly/3ebjJZY https://bit.ly/3Ef7lmA https://bit.ly/3peW29y
Personal Branding คืออะไร? สื่อสารอย่างไร? ในวันที่ตัวตนสำคัญกว่าตัวแบรนด์

FacebookFacebookXXLINELine‘แบรนด์’ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำธุรกิจ แต่หากเราพูดถึงการสร้างแบรนด์ในปัจจุบัน Personal Branding จะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนให้ความสนใจ และให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆแต่เมื่อพูดถึง Personal Branding…