บางครั้งการคิดหาเดียหรือวิธีแก้ปัญหาทางธุรกิจก็เป็นเรื่องหนักใจ แต่เราสามารถเปลี่ยนกระบวนการนี้ให้มีประสิทธิผลและกลายเป็นเรื่องสนุกได้ด้วยการทำความเข้าใจว่าเทคนิค Ideation แบบใดที่ใช้ได้ผลดีที่สุดในแต่ละสถานการณ์
เทคนิค Ideation คืออะไร?
Ideation เป็นขั้นตอนที่สามในกระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) ซึ่งเป็นวิธีการใช้ในการแก้ปัญหา ในขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนที่เน้นการคิดไอเดียหรือหาไอเดียในการแก้ปัญหาให้ออกมาได้เยอะมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้วค่อยๆ ตัดบางตัวเลือกออกไปในขั้นตอนอื่น
10 เทคนิค Ideation ที่มีประสิทธิภาพ
1. การระดมสมอง
การระดมสมองเป็นเทคนิคที่ใช้ประโยชน์จากปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนเพื่อสร้างโซลูชันใหม่โดยต่อยอดจากแนวคิดของกันและกัน ควรใช้วิธีนี้กับกลุ่มคนเล็กๆ ประมาณ 5-7 คนและจำกัดเซสชันไว้ที่ 20 นาทีเพื่อให้ทุกคนโฟกัสกับการประชุมตรงหน้า ถ้าจะให้ดีแต่ละคนควรมีพื้นเพหรือมุมมองที่หลากหลายเพื่อให้ได้โซลูชันที่หลากหลายเช่นกัน
ที่สำคัญคือต้องมีวิทยากรที่คอยดูแลให้ทุกคนได้ออกความเห็นและคอยระวังไม่ให้มีการกระทบกระทั่งกัน ผู้เข้าร่วมต้องระดมความคิด รับฟังซึ่งกันและกัน จากนั้นจึงต่อยอดและอภิปรายกันเป็นกลุ่ม
2. ไอเดียที่แย่ที่สุด
เทคนิคนี้คือการให้ผู้เข้าร่วมคิดวิธีแก้ปัญหาที่แย่ที่สุด แม้ว่าเซสชั่นระดมความคิดจะสนับสนุนทุกแนวคิด แต่บางคนอาจยังรู้สึกประหม่ากับการวิจารณ์ที่อาจเกิดขึ้น เทคนิคนี้จะขจัดความกลัวนั้นออกไปเพราะแม้จะเป็นไอเดียที่ “ไม่ดี” ทุกคนก็ยังพร้อมรับฟัง และเป็นเทคนิคที่มักจะให้สภาพแวดล้อมที่สนุกสนานมากขึ้น เนื่องจากผู้เข้าร่วมพยายามสร้างความบันเทิงให้กันและกันและใช้ความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขาเพื่อคิดไอเดียที่ไร้สาระ
เมื่อทีมของคุณนำเสนอแนวคิดที่แย่ที่สุด วิทยากรของคุณจะขอให้พวกเขาอธิบายว่าอะไรที่ทำให้แนวคิดเหล่านั้นแย่ ตอนนี้ผู้เข้าร่วมต้องคิดถึงสิ่งที่ตรงกันข้ามกับลักษณะเชิงลบเหล่านั้นเพื่อค้นหาสิ่งที่จะเปลี่ยนความคิดที่ไม่ดีเหล่านั้นจนได้วิธีแก้ปัญหาที่เป็นไปได้ออกมา
3. สตอรี่บอร์ด
การทำสตอรี่บอร์ดก็คล้ายๆ กับการวาดการ์ตูน แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะออกมาไม่สวย ขอแค่แสดงแต่ละขั้นตอนในกระบวนการให้คนมองเข้าใจก็เพียงพอแล้ว เมื่อดูแต่ละขั้นตอนในกระบวนการ ให้นึกภาพตามไปด้วยว่าคุณต้องการให้ผู้ใช้รู้สึกหรือโต้ตอบกับขั้นตอนนั้นอย่างไร จากนั้นค่อยพิจารณาว่าต้องใช้โซลูชันหรือแนวคิดไหนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์แบบนั้น การทำสตอรี่บอร์ดนอกจากจะช่วยให้เห็นภาพชัดเจนแล้วยังทำให้รู้ว่ามีขั้นตอนไหนที่เราข้ามไปหรือมีขั้นตอนไหนที่ไม่จำเป็นและตัดออกได้ด้วย
4. การทำ Mind Mapping
การทำ Mind Mapping เป็นเทคนิคที่ทำให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างปัญหาและวิธีแก้ โดยเริ่มจากเขียนปัญหาที่อยากแก้ไว้ตรงกลาง แล้วเขียนวิธีแก้ออกมาชั้นหนึ่ง ต่อจากนั้นเขียนสิ่งที่ต้องทำย่อยออกมาอีกชั้น ยกตัวอย่างเช่น มีปัญหาเรื่อง Engagement ใน Social Media น้อย ก็อาจจะโยงวิธีแก้ออกมาเป็น พัฒนาคุณภาพคอนเทนต์ โต้ตอบกับลูกเพจมากขึ้น เป็นต้น แล้วโยงสิ่งที่ต้องทำออกมาจากวิธีแก้แต่ละวิธี เช่น โยงคำว่า “สำรวจเทรนด์” ออกมาจากบับเบิ้ลพัฒนาคุณภาพคอนเทนต์
5. Brainwriting
Brainwriting คือการระดมสมองที่เหมาะกับอินโทรเวิร์ต โดยแทนที่จะใช้การพูดเสนอความเห็นก็เปลี่ยนเป็นใช้การเขียนแทน แต่ละคนจะได้รับกระดาษเพื่อมาเขียนแนวทางแก้ไขให้ได้มากที่สุดภายใน 5 นาที หลังจากนั้นก็ส่งกระดาษให้คนข้างๆ ต่อยอดไอเดียต่อ โดยจะวนจนกว่าจะได้เขียนจนครบทุกคน
6. ตั้งคำถามกับสมมติฐาน
หลายอินดัสทรีมักจะมีการตั้งสมมติฐานหรือความเชื่อเดิมๆ ว่าควรแก้ปัญหาอย่างไร แต่เทคนิคนี้จะเป็นการตั้งคำถามกับสมมติฐานเดิมเพื่อสร้างไอเดียใหม่ๆ ขึ้นมา ลองนึกปัญหาที่อยากแก้หรือโปรดักต์ที่อยากสร้างขึ้นมา แล้วลิสต์สมมติฐานที่เกี่ยวข้องทั้งในแง่บวกและแง่ลบ จากนั้นให้ถกเถียงกันว่าสมมติฐานเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกหรือแค่เป็นสิ่งที่ไม่เคยถูกตั้งคำถามมาก่อน การทำแบบนี้จะช่วยให้เห็นว่าบางกลยุทธ์ที่เคยทำกันมาอาจไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไปหรือสามารถแทนที่ด้วยไอเดียที่ใหม่กว่า
7. ร่างภาพ
เวลาออกแบบผลิตภัณฑ์ การนำเทคนิคร่างภาพมาใช้ในการสำรวจไอเดียเพิ่มเติมอาจะเป็นความคิดที่ดี บางคนก็ถนัดการสื่อสารออกมาเป็นภาพมากกว่าเป็นคำพูด แถมวิธีนี้ยังช่วยถ่ายทอดไอเดียที่เป็นนามธรรมให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้อีกด้วย ย้ำอีกครั้งว่าไม่จำเป็นต้องออกมาสวยงามสมบูรณ์แบบ ขอแค่เป็นภาพร่างคร่าวๆ ให้พอเข้าใจคอนเสปต์ก็พอ
8. เปรียบเทียบ
การเปรียบเทียบระหว่างคอนเสปต์ที่ฟังดูเข้าใจยากกับสถานกาณ์ที่ทุกคนคุ้นเคยจะทำให้เข้าใจสถานการณ์ได้ดีขึ้น เช่น อาจจะเปรียบเทียบการตลาดกับการตกปลา นักตกปลาต้องเข้าใจก่อนว่าจะตกปลาอะไรจะได้เลือกใช้เหยื่อที่เหมาะสม เหมือนกับการที่ก่อนจะปล่อยแคมเปญก็ต้องรู้ก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายต้องการหรือสนใจอะไร จะได้ปล่อยแคมเปญที่ได้ผลตอบรับดี
9. SCAMPER
SCAMPER คือการมองผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีอยู่แล้วด้วยมุมมองที่แตกต่างกัน 7 มุมเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีกว่าเดิม
- S มาจาก Substitute: มีฟีเจอร์ไหนที่สามารถแทนที่ด้วยฟีเจอร์อื่นได้?
- C มาจาก Combine: เราจะสามารถควบรวมโปรดักต์นี้กับโปรดักต์ตัวอื่นเพื่อพัฒนาให้ดีกว่าเดิมได้อย่างไร?
- A มาจาก Adapt: เราจะปรับโปรดักต์ตัวนี้ให้เข้ากับ audience กลุ่มอื่นได้อย่างไร?
- M มาจาก Modify: มีองค์กประกอบไหนที่เราสามารถดัดแปลงให้ดีขึ้นได้บ้าง?
- P มาจาก Put to another use: โปรดักต์นี้สามารถนำไปใช้ในทางอื่นได้อีกไหม?
- E มาจาก Eliminate: มีส่วนไหนที่ไม่จำเป็นและสามารถนำออกได้ไหม?
- R มาจาก Reverse: จะเป็นอย่างไรถ้าเราลองสลับสับเปลี่ยนกระบวนการ?
10. Bodystorm
เทคนิค Bodystorming คือการแสดงสถานการณ์สมมติ Ideation คือส่วนหนึ่งของกระบวนการ Design Thinking ซึ่งเป็นสิ่งที่โฟกัสไปที่ความต้องการของผู้ใช้งานเป็นหลัก การแสดงเป็นผู้ใช้งานจึงมีส่วนช่วยให้เข้าใจความรู้สึกและปัญหาของผู้ใช้ได้ดีขึ้น
เทคนิค Ideation
ยังมีเทคนิค Ideation น่าสนุกอีกมากในคอร์ส “The Beauty of Creation ถ่ายทอดผลงานผ่านความคิดและการสร้างสรรค์” โดย คุณยุทธนา บุญอ้อม ผู้ก่อตั้ง Big Mountain Music Festival และคลื่นวิทยุ Fat Radio ห้ามพลาด!
อ้างอิง https://indeedhi.re/3pbT8kF
Personal Branding คืออะไร? สื่อสารอย่างไร? ในวันที่ตัวตนสำคัญกว่าตัวแบรนด์

FacebookFacebookXXLINELine‘แบรนด์’ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำธุรกิจ แต่หากเราพูดถึงการสร้างแบรนด์ในปัจจุบัน Personal Branding จะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนให้ความสนใจ และให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆแต่เมื่อพูดถึง Personal Branding…