‘การวอร์มอัพ’ มีความสำคัญมากสำหรับการออกกำลังกาย เพราะเป็นการเตรียมพร้อมร่างกายให้พร้อมสำหรับการออกกำลังกายหนักขึ้น ทั้งส่วนกล้ามเนื้อที่ยังตึงตัว รวมถึงความพร้อมของระบบต่างๆ ที่ยังไม่ได้ทำงานหนักมาก หากเร่งทำงานหนักทันทีก็จะเกิดอาการบาดเจ็บได้ ทั้งยังเป็นการจำลองการใช้งานของร่างกายในอวัยวะส่วนต่างๆ ให้รู้การใช้แรงและมุมของข้อต่อด้วย
หลายคนคงคุ้นชินกับการยืดเหยียดกล้ามเนื้อแบบค้างไว้นานๆ หรือ Static Stretching เช่นการยกขาพาดบาร์เพื่อยืดเหยียด แต่การยืดลักษณะนี้ไม่ได้ช่วยลดอาการบาดเจ็บแต่อย่างใด แถมบางกรณีอาจเพิ่มโอกาสในการบาดเจ็บด้วย นอกจากนี้ Static Stretching ยังเป็นการยืดเหยียดเกินความจำเป็นสำหรับกีฬาประเภทวิ่ง เพราะการวิ่งไม่ได้ใช้มุมข้อต่อเยอะ จึงมีคำแนะนำสำหรับนักกีฬาวิ่งให้เปลี่ยนมาใช้การยืดเหยียดแบบ ‘Dynamic Stretching’ หรือ การยืดกล้ามเนื้อแบบเคลื่อนไหว โดยยืดในมุมที่เราต้องการและกำลังจะใช้จริงเพียงเล็กน้อย แต่ไม่จำเป็นต้องยืดให้สุด เพื่อเตรียมพร้อมกับการเคลื่อนไหวของกีฬาหรือการออกกำลังกายที่กำลังจะทำ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการเกิดอาการบาดเจ็บลงได้พอสมควร ยกเว้นกีฬาที่ใช้มุมข้อต่อเยอะๆ เช่น ยิมนาสติก เทควันโด เป็นต้น
ท่าวอร์มอัพที่ใช้ใน Dynamic Stretching
ท่าที่ 1 หันศีรษะสลับซ้ายขวา และขึ้นลงไปมา (Dynamic Stretching)
ท่าที่ 2 สำหรับการยืดส่วนแขนและแกนกลางลำตัว บิดหมุนตัว (Dynamic Stretching)
ท่าที่ 3 การยืดกล้ามเนื้อสะโพกด้านข้าง (Gluteus Medius Stretching) ให้ยืนแกว่งขาไปด้านข้าง (Dynamic Stretching)
ท่าที่ 4 การยืดกล้ามเนื้อส่วนที่งอข้อต่อสะโพก (Hip-flexor Stretching) และต้นขาด้านหน้า (Quadriceps Stretching) ให้แกว่งขาไปด้านหน้าและด้านหลัง (Dynamic Stretching)
ท่าที่ 5 การยืดกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (Hamstring Stretching) ก้มแตะปลายเท้าทีละข้าง และขยับไปด้วย (Dynamic Stretching)
นอกจาก Dynamic Stretching แล้วยังมีการวอร์มที่เรียกว่าการ ‘Drill’ คือการจำลองท่าที่เราจะเริ่มต้นวิ่งที่แบ่งออกมาเป็นส่วนย่อยๆ ด้วย
ท่าที่ใช้ในการ Drill
Low knee หรือที่เรียกว่า เข่าต่ำ
เทคนิคคือการยกมุมเข่าขึ้นไม่เกิน 30 องศา ยกสะโพกขึ้น แล้วก้าวไปข้างหน้า สลับขาไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว
High knee หรือที่เรียกว่า เข่าสูง
เทคนิคคือการยกหัวเข่าขึ้น ทำมุมประมาณ 90 องศา โดยงอสะโพก และยกเข่าขึ้นด้านหน้า
Butt kick – หรือการดีดส้น
คำแนะนำสำหรับท่าที่ถูกต้องคือยกสะโพกไปด้านหน้า แล้วดึงส้นเท้าแตะที่ก้น ไม่ใช่แค่การยกส้นเท้าไปแตะที่ก้นอย่างเดียว แต่ต้องดึงสะโพกขึ้นมาด้วย
A Skip
ฝึกตบเท้าลง โดยยกเท้าขึ้นสูง และตบเท้าลงไปด้านล่าง เพื่อให้ร่างกายคุ้นชินกับแรงกระแทก
B Skip
คล้ายกับ A Skip โดยยกขาไปด้านหน้าและตบเท้าลง แต่เพิ่มการเหยียดเข่าและวาดเท้าไปด้านหน้ามากขึ้นก่อนตบเท้าลง เพื่อให้เหมือนโมชันของการวิ่งมากขึ้น
เรียนรู้การวิ่งอย่างถูกวิธี เตรียมตัวให้วิ่งได้ถูกต้อง และเสริมเคล็ดลับสู่การวิ่งที่ดีขึ้น รวมถึงการวอร์มอัพ วิธีการหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บ ในคอร์ส “Running 101 เปลี่ยนชีวิตด้วยการวิ่ง” กับ นพ. ภัทรภณ อติเมธิน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน Sport Medicine และเวชศาสตร์ฟื้นฟู แห่ง Running Clinic โรงพยาบาลสมิติเวช (สุขุมวิท)
Personal Branding คืออะไร? สื่อสารอย่างไร? ในวันที่ตัวตนสำคัญกว่าตัวแบรนด์

FacebookFacebookXXLINELine‘แบรนด์’ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำธุรกิจ แต่หากเราพูดถึงการสร้างแบรนด์ในปัจจุบัน Personal Branding จะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนให้ความสนใจ และให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆแต่เมื่อพูดถึง Personal Branding…