ความเชื่อใจคือรากฐานของความเป็นผู้นำ ถ้าคนเป็นหัวหน้าไม่สามารถทำให้ลูกทีมเชื่อใจในตัวเอง การทำงานเป็นทีมก็จะไม่มีประสิทธิภาพ แต่ความเชื่อใจก็ไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้นกันง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหัวหน้ามือใหม่ที่อาจต้องขึ้นมาเป็นผู้นำตั้งแต่อายุยังน้อย หรือไม่เคยมีประสบการณ์การเป็นหัวหน้ามาก่อนที่ต้องมาเป็นฝ่ายนำเพื่อนร่วมงานที่อายุและประสบการณ์มากกว่า
วันนี้เราจึงพาทุกคนมาทำความรู้จักกับความเชื่อใจ 2 ประเภทที่หัวหน้าควรสร้างพร้อมวิธีการสร้างความเชื่อใจที่ว่ากัน
ความเชื่อใจบนพื้นฐานความรู้ความเข้าใจ (Cognitive Trust)
Cognitive Trust คือความเชื่อใจที่เกิดจากความมั่นใจว่าหัวหน้ามีทักษะมากพอจะทำงานให้สำเร็จลุล่วงได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างได้โดยการ
สื่อสารให้ชัดเจน: พยายามทำให้ทุกขั้นตอนการทำงานมีความโปร่งใสมากที่สุด ต้องมีการสื่อสารเรื่องความคืบหน้าของงานให้บ่อย เพื่อแสดงให้ลูกทีมเห็นว่าเราคอยดูแลจัดการงานชิ้นนี้อย่างต่อเนื่องอยู่ตลอด ไม่ได้ปล่อยให้ทุกคนทำงานกันเอง
อัปเดตความรู้อยู่เสมอ: ไม่ว่าจะเข้าร่วมงานประชุมวิชาการ เข้าเรียนคลาสออนไลน์ หรือติดตามผู้นำทางความคิด เพราะถ้าเราในฐานะหัวหน้าไม่เข้าใจว่าประเด็นร้อนที่ทุกคนกำลังพูดถึงคืออะไร คนอื่นในทีมก็คงไม่มั่นใจว่าเราจะสามารถทำให้ทีมหรือองค์กรก้าวไปข้างหน้าก่อนผู้เล่นในสนามคนอื่นได้
รักษาความใฝ่รู้: ถ้าเราใช้แต่ทักษะเดิมๆ โดยไม่เรียนรู้อะไรเพิ่มเติม ความประทับใจในตอนแรกก็อาจจะค่อยๆ ลดลงไปก็ได้ คนเป็นหัวหน้าจึงต้องรักษาความช่างสงสัยของตัวเองไว้เพื่อหาวิธีแก้ปัญหาที่แปลกใหม่จนเกิดนวัตกรรมในองค์กรขึ้นมา
ความเชื่อใจบนพื้นฐานอารมณ์ความรู้สึก (Affective Trust)
Affective Trust คือความเชื่อใจที่เกิดจากความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) ความสนิทสนม และการดูแลใส่ใจ เป็นความเชื่อใจที่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัย เราจะเชื่อว่าทุกการตัดสินใจของหัวหน้ามีเจตนาที่ดี มีจริยธรรมและมีความซื่อสัตย์
ใส่ใจ: การถามไถ่และให้ความสนใจกับคนในทีมจะช่วยทลายกำแพงและทำให้ดูเข้าถึงง่าย
ปฏิบัติกับทุกคนแบบเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน: บ่อยครั้งที่หัวหน้าหลงระเริงกับ ‘อำนาจ’ ที่มาพร้อมกับตำแหน่ง ทำให้มองการสื่อสารกับคนในทีมในรูปแบบของการสั่งการมากกว่าพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็น แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เพราะลูกทีมจะเชื่อใจเราก็ต่อเมื่อเราแสดงออกว่าเราให้ความสำคัญกับทุกคนและมองพวกเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่งไม่ใช่แค่หมากบนกระดานที่จะพาไปสู่ความสำเร็จ
ไม่ต้องเข้มแข็งตลอดเวลา: การเป็นตัวของตัวเองต้องใช้ความกล้ามากกว่าที่หลายคนคิด เพราะมนุษย์เรามักจะเก็บซ่อนด้านบางด้านไม่ให้ใครเห็น เช่นด้านที่อ่อนแอ หรือเวลาที่เราทำอะไรผิดพลาด ยิ่งต้องขึ้นมาเป็นผู้นำ เราก็ยิ่งไม่อยากแสดงมุมเหล่านั้นให้ใครเห็น แต่สุดท้ายพวกเราทุกคนก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดาที่อ่อนแอได้ ผิดพลาดได้ และการที่เรากล้ายอมรับว่าตัวเองทำพลาดนี่ละ คือความเข้มแข็งอีกรูปแบบหนึ่งที่ผู้นำควรมีหากต้องการให้คนในทีมเชื่อใจ ถ้าเราไม่กล้ายอมรับผิดเพียงเพราะกลัวว่าจะดูอ่อนแอ แล้วเลือกที่จะโทษคนอื่นหรือหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง ก็คงยากที่จะมีใครเชื่อใจให้เราเป็นผู้นำ
เรียนรู้การเป็นหัวหน้าที่ลูกน้องไว้วางใจได้ที่ https://www.cariber.co/thakorn-piyapan ไปพร้อมกับคุณฐากร ปิยะพันธ์ ผู้เข้าใจความสัมพันธ์ของพีระมิดองค์กรได้เป็นอย่างดีจากประสบการณ์มากกว่า 20 ปีที่ไต่เต้าจากพนักงานชั้นรากฐานสู่ยอดพีระมิดในคอร์ส Employee Survival Guide “อยู่ให้เป็น เอาตัวให้รอด จากศูนย์ถึง CEO”
Personal Branding คืออะไร? สื่อสารอย่างไร? ในวันที่ตัวตนสำคัญกว่าตัวแบรนด์

FacebookFacebookXXLINELine‘แบรนด์’ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำธุรกิจ แต่หากเราพูดถึงการสร้างแบรนด์ในปัจจุบัน Personal Branding จะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนให้ความสนใจ และให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆแต่เมื่อพูดถึง Personal Branding…