ว่ากันว่าความคิดสร้างสรรค์นั้นมีอยู่ในตัวคนที่ฉลาดมากๆ เท่านั้น
แต่ความจริงแล้วมีผลวิจัยเผยว่าเมื่อไอคิวเกิน 120 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ความฉลาดและความคิดสร้างสรรค์ก็ไม่ได้เชื่อมโยงกันเท่าไรแล้ว นั่นหมายความว่า ถึงแม้เราจะไม่ได้ฉลาดไปกว่าคนส่วนใหญ่ เราก็ยังสามารถสร้างสรรค์อะไรแปลกใหม่ขึ้นมาได้
แล้วทำไมน้อยคนนักถึงมีความคิดสร้างสรรค์ในระดับสูง? เพราะเราเติบโตมาพร้อมกับนิสัยที่บดขยี้ความคิดสร้างสรรค์ แต่ข่าวดีคือนิสัยที่ไม่ดีเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรากำจัดมันได้ (ถ้าเรามีความมุ่งมั่นตั้งใจมากพอ)
และนี่ก็คือนิสัยแย่ 5 อย่างที่รั้งเราไว้ไม่ให้กล้าแสดงความคิดสร้างสรรค์ออกมา
สรรสร้างผลงานและประเมินผลงานไปพร้อมกัน
เราไม่สามารถขับรถเกียร์หนึ่งและเกียร์ถอยไปพร้อมกันได้ ความคิดคนเราก็เหมือนกัน การพยายามคิดหลายอย่างไปพร้อมกันสุดท้ายแล้วก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไร การสร้างสรรค์ผลงานหมายถึงการสร้างไอเดียใหม่ การจินตนาการภาพ การมองไปข้างหน้า ส่วนการประเมินผลงานหมายถึงการวิเคราะห์และตัดสินว่าอะไรดีหรือไม่ดี ใช้ได้หรือใช้ไม่ได้
คนส่วนใหญ่จะรีบประเมินผลงานตัวเองเร็วไปและบ่อยเกินไป ผลที่ตามมาคือการสร้างสรรค์ผลงานที่น้อยลงตามไปด้วย ดังนั้นเพื่อให้เรากล้าคิดกล้าสร้างสรรค์ผลงานมากขึ้น สิ่งที่เราต้องทำคือการแยกขั้นตอนการสร้างและขั้นตอนการประเมินให้ขาดจากกัน พยายามคิดหลายๆ ไอเดียขึ้นมาก่อน เสร็จแล้วค่อยตัดสินทีหลังว่าไอเดียไหนเป็นไอเดียที่ดี
กลัวความล้มเหลว
หลายคนจำ ไมเคิล จอร์แดน ได้ในฐานะนักบาสเก็ตบอลผู้ยิ่งใหญ่ แต่น้อยคนนักที่จะจดจำเขาในฐานะคนที่ชู้ตพลาดมากว่า 9,000 ครั้ง
ไม่มีใครอยากทำผิดพลาดหรือเผชิญกับความล้มเหลว แต่ถ้าเราพยายามหลีกเลี่ยงความล้มเหลวมากเกินไป ก็จะกลายเป็นว่าเราพยายามหลีกเลี่ยงความสำเร็จไปด้วยเช่นกัน มีคำกล่าวว่าหากต้องการเพิ่มอัตราความสำเร็จ เราต้องกล้าทำพลาดให้มากขึ้น พูดอีกอย่างคือถ้าเรากล้าคว้าโอกาสมากกว่า เราก็มีแววว่าจะประสบความสำเร็จมากกว่า
กลัวความไม่ชัดเจน
คนส่วนใหญ่ชอบอะไรที่เข้าใจง่าย แต่น่าเสียดายที่เส้นทางชีวิตเราไม่ได้ถูกจัดวางเป็นระเบียบเรียบร้อยเสมอไป บางครั้งก็มีสิ่งที่เราไม่มีวันเข้าใจ หรือปัญหาที่เราไม่มีทางแก้ไข และบางครั้งไอเดียดีๆ ก็เกิดขึ้นท่ามกลางความสับสันวุ่นวาย เพราะฉะนั้น จงฝึกตนให้คุ้นชินกับความสับสนและความไร้ระเบียบ เพราะบางครั้งไอเดียที่เวิร์กก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรมารองรับ
ขาดความมั่นใจ
การที่เราจะกล้าคิดวิธีแก้ปัญหาที่แปลกแหวกแนวไม่เหมือนใครออกมาได้ ขั้นแรกคือเราต้องมั่นใจในตัวเองก่อน ซึ่งการจะสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองได้ เราก็ต้องพาตัวเองไปคลุกคลีกับการคิดสร้างสรรค์ให้คุ้นเคย พอเราเริ่มชินว่าไอเดียที่ออกมามักจะฟังดูแปลกในตอนแรก พอเราคุ้นเคยว่าความผิดพลาดก็แค่ประสบการณ์การเรียนรู้ ความมั่นใจและความคิดสร้างสรรค์ก็จะค่อยๆ สั่งสมในตัวเรา
แทนที่จะแบ่งไอเดียเป็นสิ่งที่เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ ลองแบ่งเป็นอะไรที่เคยลองและยังไม่เคยลอง เพราะความสำเร็จไม่ได้มีหนทางเดียว
รับข้อมูลมามากเกินไป
ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า ‘Analysis Paralysis’ คือการใช้เวลาไปกับการคิดถึงปัญหาและยัดข้อมูลใส่สมองมากเสียจนไม่กล้าลงมือทำสักที จริงอยู่ที่การรับข้อมูลก็เปรียบได้กับการให้อาหารสมอง แต่ถ้าเราสามารถทานอาหารเยอะเกินไปได้ เราก็สามารถคิดมากเกินไปได้เช่นกัน
สิ่งหนึ่งที่คนที่ประสบความสำเร็จมีเหมือนกันคือพวกเขารู้ว่าควรจะหยุดสะสมข้อมูลแล้วเริ่มลงมือทำ เพราะพวกเขารู้ว่าการลงมือทำตามแผนที่ดีในวันนี้ย่อมดีกว่าการ ‘รอ’ ทำตามแผนที่สมบูรณ์แบบในวันพรุ่งนี้
หากใครรู้ตัวว่ามีปัญหาเหล่านี้อยู่ อย่าเพิ่งกังวลไป เพราะการรู้ว่าอะไรที่เป็นตัวฉุดรั้งเราอยู่ก็คือขั้นแรกของการทลายกำแพงที่ขวางกั้นความคิดสร้างสรรค์ของเราแล้ว!
เพราะความคิดสร้างสรรค์ เป็นสิ่งที่ AI ทำแทนเราไม่ได้ ฝึกฝนให้ตัวเองมี Creativity ไปกับคุณสาธิต กาลวันตวานิช ในคอร์ส “The Power of Creative and Critical Thinking: พลังของการคิดสร้างสรรค์แบบมีตรรกะ” ได้ที่ https://www.cariber.co/satit-kalawantavanich
อ้างอิง
Personal Branding คืออะไร? สื่อสารอย่างไร? ในวันที่ตัวตนสำคัญกว่าตัวแบรนด์

FacebookFacebookXXLINELine‘แบรนด์’ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำธุรกิจ แต่หากเราพูดถึงการสร้างแบรนด์ในปัจจุบัน Personal Branding จะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนให้ความสนใจ และให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆแต่เมื่อพูดถึง Personal Branding…