ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงเชื่อเรื่องดวงมากขึ้น?

Home » Career Fact » Inspiration » ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงเชื่อเรื่องดวงมากขึ้น?

“วันนี้ใส่เสื้อสีอะไรดี?” คงเป็นคำถามของใครหลายๆคนก่อนทำงาน

ในยุคที่โลกเต็มไปด้วยความตึงเครียดและสิ่งต่างๆ ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและข้อเท็จจริง เหตุใดคนรุ่นใหม่ทั้ง Gen-Z และมิลเลนเนียลจำนวนมากต่างหันมาพึ่งดูดวงมากขึ้น นั่นเป็นเพราะลึกๆ แล้วเรารู้สึกว่าการดูดวงช่วยเพิ่มความสบายใจให้กับตัวเองแม้ว่าอาจจะไม่ได้เชื่อเรื่องดวงมากขนาดนั้นก็ตาม

 

การดูดวงสำหรับคนรุ่นใหม่

การดูดวงนั้นก็เหมือนกับมีม ทั้งสองสิ่งสามารถแพร่กระจายไปบนโลกอินเทอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว คอลัมน์โหราศาสตร์ในนิตยสารหรือโพสต์เรื่องดวงบนแพลตฟอร์มออนไลน์นั้นเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของยุคการดูดวงและก็คงจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน

ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาการดูดวงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนรุ่นใหม่โดยที่พวกเราบางคนอาจไม่รู้ตัว เราดูดวงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณในทุกปี โพสต์เกี่ยวกับการดูดวงเพิ่มมากขึ้นกว่า 150% ในปี 2017 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และในช่วงโควิตก็เป็นช่วงที่คนในวัยยี่สิบกว่าเข้าเว็บดูดวงมากที่สุด

ในทางใดทางหนึ่ง โหราศาสตร์และการดูดวงไปด้วยกันได้ดีกับโลกยุคอินเทอร์เน็ต อาจเพราะไม่มีอะไรมาปิดกั้นข้อมูลและความคิดได้ และเมื่อผู้คนเกิดความสงสัยพวกเขาก็จะเสิร์ชหาข้อมูลดวงของตัวเองต่อไปจนตกลงไปในหลุมที่เรียกว่า Google-research hole โดยไม่รู้ตัว 

 

เพราะเครียดจึงดูดวง

งานวิจัยในปี 1982 พบว่าผู้คนมักจะหันไปพึ่งการทำนายดวงชะตาเมื่อชีวิตเผชิญกับเรื่องตึงเครียดมากขึ้น พวกเขาหันหน้าไปปรึกษากับหมอดูเพราะส่วนมากพบว่าการดูดวงช่วยบรรเทาความเครียดได้ แม้ว่าในสภาวะปกติพวกเขาอาจจะไม่เชื่อในโหราศาสตร์ก็ตาม

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลการสำรวจจาก American Psychological Association พบว่าตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา ชาวมิลเลนเนียลเป็นเจเนอเรชันที่มีความเครียดมากที่สุดในทุกเจเนอเรชัน และงานวิจัยของ The Lancet Psychiatry เผยว่าคนในช่วงอายุ 18-34 ปีมีปัญหาด้านสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้นนับตั้งแต่เริ่มมีสถานการณ์โควิด นอกจากนี้ New York Times ยังให้ข้อมูลว่าในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเป็นเดือนที่คนเข้าเว็บไซต์ดูดวงมากที่สุด ทั้งๆ ที่เรากำลังอยู่ในสถานการณ์โรคระบาดที่อาจจะใหญ่ที่สุดในชีวิต แต่หลายคนกลับเลือกที่จะหาคำตอบจากการดูดวง

ถ้าความเครียดและความไม่แน่นอนของอนาคตเปรียบเสมือนโรคร้ายสำหรับคนรุ่นใหม่ การดูดวงก็คงจะเป็นสุดยอดยาบรรเทาที่ช่วยเยียวยาจตใจพวกเขาได้

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเรื่องราวให้เล่าและสานต่อตลอดชีวิต พวกเราคอยอธิบายชีวิตและตัวตนของพวกเราผ่านอตีด เชื่อมโยงกับปัจจุบัน และตั้งเป้าหมายและความหวังในอนาคต 

ลองนึกภาพว่าถ้าเรากำลังอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่แต่ไม่แน่ใจว่าตอนจบอาจจะไม่เป็นอย่างที่หวังหรือเปล่า และหากเราเป็นคนที่วิตกกังวลได้ง่ายด้วย เราก็คงเริ่มอ่านหนังสือจากตอนจบก่อนสิ่งนี้สะท้อนภาพได้ดีว่าทำไมคนถึงหันมาดูดวงมากขึ้น เพราะการดูดวงช่วยให้เรารู้สึกว่าเราสามารถคาดการณ์อนาคตได้ ถ้าอนาคตออกมาดีเราก็อาจจะให้เครดิตกับความพยายามของตัวเอง แต่ถ้าไม่เราก็อาจโทษว่าเป็นเพราะช่วงนี้ดวงของเราไม่ดีอยู่แล้ว ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง ผลสรุปก็คือการดูดวงก็ช่วยบรรเทาความเครียดได้

 

ไม่ชอบสิ่งที่ควบคุมไม่ได้

“ดวงชะตาไม่ใช่สิ่งที่ควบคุมเรา ตัวเราเองต่างหากที่เป็นผู้ควบคุมดวงชะตานั้น” คำพูดสวยหรูที่ทุกคนต้องเคยได้ยินและเห็นด้วยกับคำพูดนี้ แต่เมื่อถึงช่วงวิกฤตจริงๆ หลายคนก็ดูดวงเพื่อหวังให้ดวงชะตานำพาอยู่ดี

คนรุ่นใหม่ทั้งมิลเลนเนียลและ Gen-Z ให้ความสำคัญกับอนาคตจึงทำให้เกลียดสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมมากกว่าปกติ การระบาดของโควิดก็นับเป็นอีกเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุม ไหนจะประเด็นโลกร้อนหรือเศรษฐกิจที่ไม่มีวี่แววจะดีขึ้นอีกในขณะที่การคาดเดาถึงผลกระทบในระยะยาวนั้นทำได้ยากและเต็มไปด้วยความกังวล การดูดวงจึงกลายไปวิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ตัวเองได้สบายใจ จึงเป็นเหตุให้มีคำกล่าวว่า “คนรุ่นใหม่ (โดยเฉพาะมิลเลนเนียล) รักการดูดวง”

 

การเชื่อมโยง

หลักการพื้นฐานของโหราศาสตร์ก็คือดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวเคราห์ และกลุ่มดาวมีผลกระทบบางอย่างต่อชีวิตของเรา โดยที่มีกฎตายตัวว่าการที่ดวงดาวเคลื่อนไปในตำแหน่งใดจะส่งผลอย่างไรกับเรา เป็นเหตุที่คนจำนวนมากคิดว่าการดูดวงเป็นเรื่องงมงาย แต่หลายคนก็ยังพยายามเข้าใจบุคลิกภาพของตัวเองและคาดเดาพฤติกรรมของคนอื่นผ่านการดูดวง

แม้ว่าโหราศาสตร์จะไม่ได้รับการพิสูจน์ในแวดวงวิทยาศาสตร์ แต่การแบ่งบุคลิกที่แตกต่างกันตามราศีของแต่ละคน เช่น คนราศีนี้ใจร้อน คนราศีนั้นใจเย็น ก็ทำให้หลายคนได้กลับมาทำความเข้าใจบุคลิกของตัวเองและของคนอื่นมากขึ้น 

 

เมื่อศาสนาไม่ตอบโจทย์

ทุกคนรู้กันดีว่าทั้งมิลเลนเนียลและ Gen-Z เป็นเจเนอชันที่เคร่งศาสนาน้อยที่สุด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขามองโลกในแง่ร้ายและสิ้นหวังในการหาความหมายของชีวิต

ในทางตรงกันข้าม ที่พวกเขาค่อยๆ เลิกนับถือศาสนาก็เพราะพวกเขาต้องการหาความหมายที่แท้จริงในชีวิตไปพร้อมๆ กับการค้นหาตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา และด้วยความที่การดูดวงทำให้พวกเขาเข้าใจตัวเองมากขึ้น จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนรุ่นใหม่จึงหันมาพึ่งพาการดูดวงมากกว่าการนับถือศาสนา

นี่ไม่ใช่การละทิ้งศาสนา แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตวิญญาณและความเชื่อของคนรุ่นใหม่ที่พยายามหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจที่เหมาะสมกับตนเอง แน่นอนว่าการดูดวงก็เป็นหนึ่งในนั้นเพราะมันให้ความรู้สึกถึงการมีอัตลักษณ์ ช่วยให้พวกเขากำหนดได้ว่าจะเป็นคนแบบไหนในฐานะปัจเจก นอกจากนี้ยังทำให้พวกเขารู้สึกว่าสามารถควบคุมชีวิตประจำวันของตัวเองได้

 

การดูดวงผ่านมุมมองต่างๆ

สิ่งหนึ่งที่เราพอเห็นได้จากความคิดทางจิตวิทยาช่วงนี้ก็คือโหราศาสตร์หรือการดูดวงให้ความหมายที่แตกต่างกันในแต่ละคน บางคนเชื่อมั่นอย่างจริงจังจนนับว่าตัวเองเป็นสายมู บางคนแค่ชอบดูดวงเล่นๆ บางคนมองเป็นเรื่องตลก 

เราทุกคนในตอนเด็กคงจะได้ฟังนิทานเรื่องต่างๆ มานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งที่เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องที่สมมติขึ้น แต่ทุกเรื่องกลับให้แง่มุมต่างๆ ในชีวิตกับเรา การดูดวงก็เช่นกัน เราอาจเข้าใจคนที่ดูดวงมากขึ้นด้วยการมองในมุมเดียวกันกับการฟังนิทาน เพราะทุกเรื่องในชีวิตของเราทุกคนนั้นมีหลายแง่มุม

สุดท้ายแล้วคนรุ่นใหม่และทุกๆ คนก็แค่ต้องการเข้าใจตัวเองและอยากใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยมุมมองด้านลบ ทุกคนก็แค่พยายามหาทางที่จะจัดการกับความคิดแย่ๆ ความวิตกกังวล ความเครียด และการดูดวงก็เป็นสิ่งนั้นที่หลายคนตามหา การดูดวงจึงได้เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตคนรุ่นใหม่มากกว่าเมื่อก่อน

อ้างอิง

https://bit.ly/3xBaQRJ 

https://bit.ly/2VFKgJf 

https://bit.ly/3eeeAB3 

สูตรความสำเร็จกับ "ที่สุด" ของประเทศ

คอร์สออนไลน์กับผู้บริหาร ผู้นำทางความคิด แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน