โบ๊ท พชร: CEO แห่ง Bluebik Group คอนซัลต์ชั้นนำที่กำลังก้าวสู่ระดับโลก

Home » Career Fact » Interview » โบ๊ท พชร: CEO แห่ง Bluebik Group คอนซัลต์ชั้นนำที่กำลังก้าวสู่ระดับโลก

หลายคนคงทราบข่าวแล้วว่าภายในปีนี้ บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ Bluebik จะเสนอขายหุ้น IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ขยายธุรกิจเพื่อตอบโจทย์นวัตกรรมและศักยภาพด้านดิจิทัลในฐานะผู้นำด้านที่ปรึกษา

วันนี้ Career Fact จะพาไปพูดคุยกับ ‘พี่โบ๊ท’ พชร อารยะการกุล CEO แห่ง Bluebik Group จากเด็กชายที่นั่งอ่านหนังสือสอนเขียนโปรแกรมจนจบเล่มในร้านหนังสือสู่ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทคอนซัลต์ชั้นนำของประเทศที่กำลังก้าวเข้าสู่การเป็นบริษัทระดับโลก และเคยให้มุมมองเกี่ยวกับกลยุทธ์ไว้มากมาย เรื่องราวของเขาจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ที่นี่

รู้จักกับพี่โบ๊ท พชร

พี่โบ๊ทเติบโตมาในครอบครัวใหญ่ เป็นลูกคนโตของพี่น้องทั้งหมด 4 คน ญาติทุกคนในครอบครัวล้วนทำธุรกิจโดยมีคุณพ่อทำธุรกิจขายกล้องและธุรกิจ IT Hardware เขาจึงชินกับการทำธุรกิจตั้งแต่เด็กๆ สภาพแวดล้อมของครอบครัวมีอิทธิพลกับการใช้ชีวิตมาก พี่โบ๊ทไม่เคยนึกภาพตัวเองในอาชีพอื่นเลย จนมาตกตะกอนตอนโตว่าเหตุผลที่อยากทำธุรกิจนั้นเป็นเพราะเป็นอาชีพที่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ รวมถึงเป็นพื้นที่ที่สร้างรายได้ให้คนทำงานและยังทำให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ต้องการ

แต่เมื่อถึงเวลาต้องเลือกคณะที่เรียนจริงๆ พี่โบ๊ทกลับเลือกเรียนสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะชอบด้านเทคโนโลยีและการเขียนโปรแกรมตั้งแต่ยังเด็กเขาเจอหนังสือสอนเขียนโปรแกรมภาษาปาสคาลในร้านหนังสือและนั่งอ่านจนจบ และเริ่มลงมือเขียนโปรแกรมเองหลังเจอเพื่อนที่สนใจการเขียนเว็บ HTML ก่อนที่เขาจะเขียนโปรแกรมจนเก่งและได้รับการสนับสนุนจากอาจารย์ที่คอยส่งเขาเข้าประกวดเขียนโปรแกรมจนคว้ารางวัลหลายเวที รวมถึงได้แชมป์เขียนซอฟแวร์ระดับประเทศ

ที่ปรึกษาและมนุษย์เป็ด

หลังจากอิ่มตัวจากการเขียนโปรแกรมมานานกว่า 12 ปี พี่โบ๊ทที่เป็นคนชอบทำอะไรหลายอย่างอยู่แล้วจึงเริ่มต้นชีวิตการทำงานในฐานะที่ปรึกษา (Consultant) กับ PricewaterhouseCoopers (PwC) 1 ใน 4 บริษัทผู้ตรวจสอบบัญชีและที่ปรึกษาธุรกิจยักษ์ใหญ่ของโลก เขารู้จักอาชีพนี้จากคอร์สเรียน Junior MBA ซึ่งข้อดีของตำแหน่งงานนี้คือการอยู่ที่เดียวแต่ได้ทำงานหลากหลาย ได้เรียนรู้จากทุกอุตสาหกรรม โดยเขานิยามตัวเองว่าเป็น ‘มนุษย์เป็ด’ คือชอบทำหลายอย่างที่ไม่ต้องลึกมากแต่สนุกที่ได้ทำ

ต่อมารุ่นพี่ของเขาชักชวนให้ทำบริษัทสตาร์ทอัพในยุคที่สตาร์ทอัพยังไม่บูมอยู่ประมาณ 8 เดือน ก่อนไปบินเรียนต่อระดับปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ-กลยุทธ์การตลาดและการเงินที่ Kellogg School of Management, Northwestern University สหรัฐอเมริกา ระหว่างเรียนต่อที่ Kellogg อยู่ 2 ปี เป็นช่วงที่พี่โบ๊ทเรียนรู้และค้นพบตัวเองหลายอย่างมาก พอเรียนจบปีแรกเขาได้โอกาสฝึกงานที่ BCG (Boston Consulting Group) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ Top 3 ของโลก จนวันหนึ่งได้คุยกับพี่โป้ง (ปกรณ์ เจียมสกุลทิพย์) ที่เคยร่วมงานกันตั้งแต่ PwC ถึงเรื่องโปรเจกต์ที่อยากทำเกี่ยวกับบริษัทซอฟแวร์เฮ้าส์ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของ ‘Bluebik’ 

พี่โบ๊ททำงานต่อที่ BCG หลังเรียนจบปริญญาโทเพราะอยากหาความรู้และเป็นโอกาสที่ยากจะปฏิเสธเพราะมีแค่ 2 คนในไทยที่จบจาก MBA แล้วได้งานที่นั่น แต่ก็ยังคงช่วยทางฝั่ง Bluebik ด้วยการทำงานแบบรีโมทในช่วงเสาร์อาทิตย์ เมื่อทำงานที่ BCG ได้ 3 ปี เขาก็คิดว่าที่นี่ยังไม่สุดในทางที่อยากทำเพราะเริ่มสนใจทำเรื่องเทคโนโลยีมากกว่า เขาจึงตัดสินใจลาออกและมาทำ Bluebik เต็มตัว โดยมีปกรณ์ เจียมสกุลทิพย์ CTO คนปัจจุบันร่วมด้วยในวันนั้น

Bluebik Group

Bluebik คือ Consulting Firm ที่ทำหน้าที่สร้างมูลค่า (Value Creation) ให้กับลูกค้าหรือพันธมิตร โดยเน้นเรื่อง Digital Transformation เป็นหลัก โดยปกติแล้วบริษัท Consulting ใหญ่ๆ จะมีจุดแข็งตรงที่จะรับแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่แตกต่างตามปัญหาของลูกค้าแต่ละเจ้า ส่วนบริษัทกลางๆ จะมีมาตรฐานกลางไว้เพื่อให้ทำงานง่าย ส่วน Bluebik จะอยู่ตรงกลางระหว่างทั้ง 2 แบบ เพราะเชื่อว่าเทคโนโลยีจะกลายเป็นเมกะเทรนด์ที่ใครๆ ก็ต้องปรับตัวตาม ทำให้ Bluebik เป็นที่เดียวที่ทำเรื่อง Digital Transformation แบบกลยุทธ์ได้

นอกจากนี้พี่โบ๊ทเสริมว่าสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการทำ Digital Transformation คือเรื่อง ‘คน’ เพราะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนวัฒนธรรม ความคิด สร้างแรงจูงใจเพื่อให้คนยอมปรับตัวหันมาใช้เทคโนโลยี ดังนั้นจึงต้องอาศัยการสร้างกลยุทธ์ที่ตรงจุดเพื่อให้เกิดความเชื่อเดียวกันและสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ รวมถึงการซัพพอร์ตคนด้วย

Bluebik ในอนาคต สร้างความเชื่อมั่นสู่ Partnership

หลายคนคงทราบข่าวว่าภายในปีนี้ บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ Bluebik จะเสนอขายหุ้น IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) พี่โบ๊ทบอกว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญสำหรับ Bluebik ภาพในอนาคตของบริษัทยังมีความเป็นไปได้ที่ไม่รู้จบด้วยจุดเด่นเรื่อง Digital Transformation ที่สามารถทำได้หลายรูปแบบทั้งให้คำปรึกษา เป็นพาร์ทเนอร์ หรือลงทุนในอนาคต 

เขาบอกว่าการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์คือจุดเริ่มต้นที่สร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าเพื่อที่อนาคตจะร่วมมือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้ต่อไป ซึ่งความเชื่อมั่นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการจะทำให้ธุรกิจเติบโตและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อพาร์ทเนอร์ ดังนั้นจึงต้อง “มุ่งมั่นเต็มที่ มีโอกาสต้องใช้ให้คุ้มค่า ไม่ใช่ปล่อยให้หายไปในอากาศ” เขากล่าว

หลายบทบาท

ปัจจุบันพี่โบ๊ทมีความรับผิดชอบในหลายบทบาท ทั้งทำงานหลักที่ Bluebik เรียนต่อปริญญาเอก เป็นพิธีกรอ่านข่าว บรรยายพิเศษในหลายมหาวิทยาลัย รวมถึงบทบาทการเป็นคุณพ่อ 

ถ้าทำหลายอย่างมากเกินไปอาจส่งผลให้จัดการชีวิตได้ไม่ดี แต่พี่โบ๊ทเป็นคนหนึ่งที่ชอบทำหลายอย่างพร้อมๆ กัน เพราะเป็นการฝึกทักษะหลายอย่าง และถ้ากิจกรรมที่ทำเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกันก็จะสามารถเชื่อมโยงความรู้ที่ได้จากอีกกิจกรรมหนึ่งเพื่อซัพพอร์ตอีกกิจกรรมหนึ่งได้ พี่โบ๊ทแนะนำว่าหากต้องการบาลานซ์งานและบทบาทต่างๆ ก็ต้อง “จับจุดให้ได้ หาวิธีที่เหมาะสมและถนัดสุด ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป”

กฎ 80-20 เป็นเทคนิคการทำงานที่พี่โบ๊ทให้ความสำคัญมากเช่นกัน แต่เขาบอกว่าเรื่องที่หลายคนพลาดที่สุดในการจัดตารางการทำงานคือการละเลย ‘สิ่งที่ไม่รีบเร่งแต่สำคัญ’ ดังนั้นวิธีแก้ที่ดีที่สุดคือต้องทำสิ่งนั้นทันที “ไม่มีเดี๋ยว มีแต่เดี๋ยวนี้” เขากล่าวเสริม

ชีวิตของพี่โบ๊ทในแต่ละวัน

เมื่อเราถามถึงตารางชีวิตประจำวัน พี่โบ๊ทให้คำตอบว่าถ้าเป็นช่วงที่ไม่ใช่โควิดแล้วปกติเขาตื่นนอนตั้งแต่เช้า 6.30 น. และเริ่มต้นวันทำงานประมาณ 9 โมงเพื่อไปออฟฟิศ ระหว่างทางจัดตารางบ้างเล็กน้อย โดยที่ส่วนใหญ่ประชุมแทบทั้งวันไม่มีช่วงหยุดพักเท่าไร ในตอนกลางคืนต้องกลับบ้านมาเคลียร์งานต่างๆ แต่ก็ไม่ลืมที่จะแบ่งเวลาเล่นกับลูกอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง แต่วันไหนมีเรียนก็จะเริ่มตั้งแต่ 6 โมงเย็นจนถึง 3 ทุ่ม และพี่โบ๊ทแบ่งกิจกรรมออกกำลังกายในวันเสาร์อาทิตย์ และที่เหลือก็ทำโปรเจ็คอื่นๆ

จัดการ Burnout โดยการหาความสุขเล็กๆ ให้เจอ

พี่โบ๊ทยกตัวอย่างว่าช่วงเวลาที่ต้องทำงานหนักทั้งวันแค่ได้ดูซีรี่ส์สักหนึ่งตอนหรือได้เล่นกับลูกก็ถือว่าเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดของวัน ดังนั้นหลายๆ คนควรต้อง “หาความสุขเล็กๆ ให้เจอ”

เขาบอกว่าสมัยก่อนเคยคิดว่าเป็นคนขี้เกียจ แต่สุดท้ายพอถึงวัยทำงานเริ่มเข้าใจว่าความขี้เกียจเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่นิยามขึ้นมา แต่การไปเรียนที่ Kellogg ทำให้เขาได้เจอเพื่อนต่างชาติเก่งๆ ที่มักจะขยันทำนู่นทำนี่มากกว่าเขา นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นความโปรดักทีฟของเขา 

“ความเก่งของบางคนไม่ใช่แค่พรสวรรค์ แต่เป็นสภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมให้พวกเขาเป็นแบบนั้น” พี่โบ๊ทกล่าว

Role Model 

หากจะมีพาร์ทใดในชีวิตที่พี่โบ๊ทอยากให้แนะนำที่สุดก็คงเป็นเรื่องของ Role Model เพราะพี่โบ๊ทคิดว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตดีขึ้นได้คือการได้มี Role Model เป็นของตัวเอง เพราะเมื่อเราเห็นตัวอย่างแล้วว่ามีคนอื่นที่ทำได้ เราก็จะมีแรงบันดาลให้พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น และทุกวันนี้ที่ Bluebik ก็ใช้สิ่งนี้เป็นตัวขับเคลื่อนคนในองค์กร “บางครั้งเราไปเป็น Role model ให้คนอื่นได้ก็คุ้มค่าแล้ว”

นอกจากนี้พี่โบ๊ทบอกว่าเรื่องของความมุ่งมั่นคือสิ่งสำคัญมาก และคนรุ่นใหม่หลายคนอยู่ในสเตจที่ต้องการค้นหาหรือสำรวจสิ่งใหม่ๆ แต่ว่าทุกครั้งต้องกลับมาคิดว่าเป้าหมายที่เรามุ่งมั่นกับตัวเองจริงๆ คืออะไร หลายครั้งที่ระหว่างทางอาจจะท้อแล้วก็หายไปก่อนที่ทุกอย่างจะสำเร็จ เขาเสริมว่าหากเหนื่อยก็พักได้ แต่ว่าต้องกลับมายึดแนวทางที่เคยคิดและวางแผนไว้

สูตรความสำเร็จกับ "ที่สุด" ของประเทศ

คอร์สออนไลน์กับผู้บริหาร ผู้นำทางความคิด แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน