Digital Disruption หรือ การเปลี่ยนแปลงของสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดจากเทคโนโลยีดิจิทัล ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงทั้งวิถีชีวิตประจำวันและกระบวนการทำงานของโลกธุรกิจ
ในแง่หนึ่งเทคโนโลยีใหม่ๆ ก็ทำให้เกิดการพัฒนาและการเติบโต บริษัทไหนที่ปรับตัวได้ก็จะสามารถเปลี่ยนภัยคุกคามให้กลายเป็นโอกาส ส่วนบริษัทไหนที่ปรับตัวตามไม่ทัน Digital Disruption ก็จะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้บริษัทตกอยู่ในความเสี่ยงและรอวันล้มเลิกกิจการไม่เว้นแม้กระทั่งบริษัทที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่
หนทางแก้ปัญหาไม่ใช่การอยู่เฉยหรือเลื่อนการเปลี่ยนแปลง เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จะไม่หยุดอยู่แค่ Digital Disruption อย่างแน่นอน สิ่งที่เราควรทำจึงเป็นการวางแผนรับมือให้พร้อมรับกับทุกความเปลี่ยนแปลง โดย Gartner บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก ได้เผย 5 วิธีรับมือกับ Disruption ในฐานะผู้นำองค์กรให้เราได้อ่านกัน
ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้
แทนที่จะพยายามเลี่ยงการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เราควรทำคือสำรวจว่าการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นจะมีผลอย่างไรต่อตลาด ผลดีผลเสียของมันคืออะไร จะได้วางแผนถูกว่าจะปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร
วิเคราะห์คู่แข่ง
การวิเคราะห์คู่แข่งจะทำให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรรออยู่เฉยๆ โดยไม่ลงมือทำอะไรนานเกินไปเพราะอาจทำให้เราพลาดโอกาสในการครองตลาดใหม่ๆ หรือปรับตัวช้าไปจนสูญเสียกำไร
กล้าเสี่ยง
แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงมาพร้อมกับความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนารุดหน้าไปอย่างรวดเร็วและยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเทคโนโลยีเหล่านั้นจะเป็นแค่กระแสชั่วครู่ชั่วคราวหรือเป็นเทคโนโลยีที่จะสร้างอิมแพคต่อวิถีชีวิตของเราจริงๆ แต่การยึดถือแนวคิดและวิธีการทำงานเก่าๆ ก็จะทำให้ปรับตัวไม่ทันและถูกทิ้งไว้ข้างหลัง นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้นำที่ดีจึงต้องมีความกล้าเสี่ยงและขับเคลื่อนโดยความท้าทาย
โฟกัสแต่สิ่งที่สำคัญ
ถึงจะสนับสนุนให้กล้าเปลี่ยนแปลง แต่ก็ต้องทำอย่างมีชั้นเชิง อย่างที่บอกไปว่าไม่ใช่ทุกเทคโนโลยีที่จะสามารถสร้างอิมแพคได้อย่างจริงจัง เราจึงควรมองข้ามสิ่งรบกวนที่อาจดึงความสนใจเราออกจากสิ่งที่สำคัญ เป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่แค่เพื่อให้ตามเทรนด์ให้ทันเฉยๆ อย่างไร้เหตุผล แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อเพิ่มความสามารถขององค์กรอย่างตรงจุดโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี
เริ่มทดลองเรียนรู้แล้วทำซ้ำ
ในขณะที่บางองค์กรมองว่าควรเปลี่ยนแปลงหลังจากมีการพิสูจน์แล้ว องค์กรที่ประสบความสำเร็จในการปรับตัวก่อนใครจะมองว่าการอยู่เฉยท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนั้นหมายความว่าจะมีองค์กรอื่นคว้าโอกาสในการขึ้นเป็นผู้นำเทรนด์ สิ่งที่ผู้นำองค์กรประเภทหลังทำไม่ใช่การนิ่งเฉย แต่คือการใช้วิธีทดลอง เรียนรู้ แล้วทำซ้ำ เพื่อค้นหาหนทางที่เวิร์กที่สุด
ให้รางวัลแก่ความผิดพลาด
การจะขึ้นมาเป็นผู้นำในยุคดิจิทัลได้ สิ่งสำคัญคือ ‘ความเร็ว’ แต่การจะกระตุ้นให้พนักงานในองค์กรกล้าเสนอไอเดียใหม่ๆ ได้ก็ต้องสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และไม่มองว่าความผิดพลาดเป็นสิ่งเลวร้าย เพราะฉะนั้น องค์กรที่ใช้วิธีให้รางวัลแก่ความผิดพลาด ก็มักจะปรับตัวและประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัลมากกว่า เพราะวิธีนี้จะช่วยลบล้างตราบาปที่มักมาคู่กับความผิดพลาด ทำให้พนักงานกล้าลองทำอะไรใหม่ๆ และกล้าเสนอวิธีแก้ปัญหาที่ต่างออกไปจากเดิม
ปรับตัวพร้อมรับมือ Digital Disruption ได้ที่ https://www.cariber.co/thakorn-piyapan ไปพร้อมกับคุณฐากร ปิยะพันธ์ ผู้เข้าใจความสัมพันธ์ของพีระมิดองค์กรได้เป็นอย่างดีจากประสบการณ์มากกว่า 20 ปีที่ไต่เต้าจากพนักงานชั้นรากฐานสู่ยอดพีระมิดในคอร์ส Employee Survival Guide “อยู่ให้เป็น เอาตัวให้รอด จากศูนย์ถึง CEO”
อ้างอิง
Personal Branding คืออะไร? สื่อสารอย่างไร? ในวันที่ตัวตนสำคัญกว่าตัวแบรนด์
FacebookFacebookXXLINELine‘แบรนด์’ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำธุรกิจ แต่หากเราพูดถึงการสร้างแบรนด์ในปัจจุบัน Personal Branding จะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนให้ความสนใจ และให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆแต่เมื่อพูดถึง Personal Branding…