ถาม-ตอบเรื่องสตาร์ทอัพไปกับ ‘พี่ญาดา’ ปิยะจอมขวัญ ผู้ร่วมก่อตั้ง Ajaib แพลตฟอร์มการลงทุนของอินโดนีเซียตั้งแต่ Mindset ที่คนอยากลองทำสตาร์ทอัพควรมี ไปจนถึงคำถามที่ VC หรือนักลงทุนมักจะถาม
ฉายแววตั้งแต่เด็ก
พี่ญาดาเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่รายล้อมไปด้วยคนที่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง เธอจึงมีโอกาสได้เห็นและได้ร่วมช่วยเหลือคนในครอบครัวในการทำธุรกิจ เธอชอบที่ได้ลงมือทำอะไรแล้วเห็นผลลัพธ์อย่างเป็นชิ้นเป็นอัน เธอจึงตั้งใจไว้ว่าจะเดินเส้นทางสายธุรกิจตั้งแต่เด็กๆ และตัดสินใจเข้าเรียนที่คณะ BBA สาขาการตลาด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในระดับปริญญาตรี
ถึงจะมีความตั้งใจด้านการทำธุรกิจมาตั้งแต่เด็กแต่เพราะยังไม่มีไอเดียที่ชัดเจนพอและประสบการณ์ก็ยังไม่มาก เธอจึงหักเลี้ยวไปทำงานสาย Consulting ที่ McKinsey ดูก่อนเนื่องจากเชื่อว่าจะได้ประสบการณ์ที่ดีจากการทำงานใกล้ชิดผู้บริหารชั้นนำในหลากหลายวงการ ประสบการณ์ที่เธอชอบมากเป็นพิเศษคือการได้ร่วมงานกับภาครัฐ เพราะทำให้เธอได้เข้าร่วมและให้ความคิดเห็นในการประชุมสำคัญทั้งๆ ที่ตอนนั้นเธออายุเพียง 25 ปี เท่านั้น
ได้อะไรจาก Stanford
หลังจากทำงานเป็นที่ปรึกษาได้ราว 3 ปีพี่ญาดาก็กลับมาตามความฝันการเป็นเจ้าของธุรกิจอีกครั้งและเข้าเรียน MBA ที่มหาวิทยาลัย Stanford ซึ่งขึ้นชื่อเรื่อง Entrepeneurship
สิ่งที่เธอได้เรียนรู้จาก Stanford คือ หนึ่ง แทนที่จะมองว่าการทำธุรกิจโดยเฉพาะสตาร์ทอัพไม่ได้เป็นเรื่องที่เสี่ยง ให้ลองมองมุมกลับและหาทางลดความเสี่ยงแทน ยกตัวอย่างเช่น หลายคนอาจจะมองว่าการขอเงินระดมทุนจาก VC จะทำให้สูญเสียตัวตนเพราะต้องดำเนินตามทิศทางของนักลงทุน จนเลือกที่จะใช้เงินเก็บของตัวเองแทน ผลที่ตามมาคือการจะสร้างสตาร์ทอัพให้โตเร็วก็เป็นไปได้ยาก แต่ถ้าเราลดความเสี่ยงด้วยการพยายามหานักลงทุนที่มีวิสัยทัศน์คล้ายกัน เราก็ไม่ต้องนำเงินเก็บของตัวเองมาเสี่ยง
สอง พยายามมองระยะยาว และถ้าจะสร้างสตาร์ทอัพขึ้นมาสักตัวก็ต้องเป็นสิ่งที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงหรือสร้างอิมแพคในภาพกว้างได้ ไม่ใช่แค่บริษัทที่สร้างตามเทรนด์ มี Professor ท่านหนึ่งบอกไว้ว่า “ไม่ว่าจะทำร้านกาแฟ ร้านอาหาร หรือบริษัท Fin-Tech ถ้าขึ้นชื่อว่าเป็นธุรกิจก็ยากทั้งนั้น เพราะฉะนั้นก็ทำสิ่งที่สร้างอิมแพคได้ไปเลยดีกว่า”
สุดท้ายคือ เจ้าของสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ผิดพลาดได้ล้มเหลวได้ แต่สิ่งที่พวกเขามีร่วมกันคือการเป็นคนทะเยอทะยาน กล้าฝันถึงอะไรยิ่งใหญ่ และการเป็นคนมีความตั้งใจสูง
จุดเริ่มต้นของ Ajaib
ผ่านไป 3 เดือนหลังเรียนต่อ พี่ญาดาและ Co-Founder ก็ตัดสินใจเริ่มทำสตาร์ทอัพเป็นของตัวเองบ้าง ไอเดียการทำธุรกิจก็เริ่มจากคิดก่อนว่า สิ่งที่จะสร้างอิมแพกในระดับภูมิภาคคืออะไร ซึ่งตอนนั้นพี่ญาดาก็คิดว่า ต้องเป็นสิ่งที่มาแก้ปัญหาพื้นฐาน จึงเลือกเป็นบริการทางการเงิน เพราะเป็นสิ่งที่ทั้งสองคนมีประสบการณ์มาก่อน
จากนั้นจึงตีกรอบให้แคบลงว่าจะเป็นบริการด้านไหน จนมาลงตัวที่แพลตฟอร์มการลงทุน โดยเน้นไปที่คนที่เพิ่งหัดเริ่มลงทุนเป็นหลัก ส่วนสาเหตุที่เลือกตลาดอินโดนีเซียนั้นเป็นเพราะคนอินโดนีเซียยังตื่นตัวเรื่องการลงทุนน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับไทย แถมอินโดนีเซียยังเป็นตลาดที่ใหญ่มากๆ ทั้งสองคนจึงเล็งเห็นโอกาสการทำธุรกิจที่นั่น
บทบาท CPO จากคนสายมาร์เก็ตติ้ง
อุปสรรคหลักๆ ที่พี่ญาดาต้องเจอในฐานะ CPO (Chief Product Officer) คือความไม่รู้ เพราะโปรดักต์หลักต้องใช้ความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมที่เธอไม่มีพื้นฐานมาก่อน สิ่งที่ทำในช่วงแรกคือเอ่ยปากขอให้ช่วยสอนไปตามตรง ซึ่งวิธีแบบนี้เป็นสิ่งที่เธอทำมาตลอดในช่วงที่เป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจที่ต้องปรับตัวตามอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ได้รับมอบหมาย
สำหรับพี่ญาดาทักษะที่สำคัญที่สุดสำหรับ Product Manager ไม่ใช่ Technical Skills แต่เป็นความช่างสงสัยว่าความจริงคืออะไร Product Manager ที่ดีต้องถามตัวเองอยู่เสมอว่าลูกค้าชอบโปรดักต์แบบไหน และตามหาคำตอบให้เจอโดยห้ามยึดจาก ‘ความคิดเห็น’ ของตัวเองแต่ต้องยึดจาก ‘ข้อมูล’ ที่ได้มาจากลูกค้าผู้ใช้งานเป็นหลัก
สิ่งที่แตกต่างระหว่างวงการสตาร์ทอัพไทยและอินโดนีเซีย
เราจะเห็นว่าในระยะให้หลังมีสตาร์ทอัพสัญชาติอินโดนีเซียที่ประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ในเมืองไทยยังไม่ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านเท่าไรนัก คำถามที่เกิดขึ้นหลังจากเห็นภาพนั้นก็คงหนีไม่พ้นว่าข้อแตกต่างระหว่างประเทศไทยและอินโดนีเซียคืออะไร? ซึ่งพี่ญาดาก็ให้คำตอบมาว่า สิ่งที่เมืองไทยขาดคือ ‘Role Model’ หรือแบบอย่าง หลังจากอินโดนีเซียมีสตาร์ทอัพชื่อดังระดับโลกอย่าง Grab หรือ Tokopedia พนักงานในบริษัทเหล่านั้นที่อยู่มาตั้งแต่บริษัทตั้งไข่จนประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามก็ได้แรงบันดาลใจมาสร้างสตาร์ทอัพเป็นของตัวเองบ้าง
VC ต่างประเทศมักจะถามอะไร
ในรอบ Seed Round สิ่งที่ VC ในต่างประเทศให้ความสำคัญเป็นพิเศษไม่ใช่ไอเดียหรือโปรดักต์ เพราะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ในภายหลัง แต่เป็นความเข้าใจตลาดของ Founder คนเป็น Founder ต้องสามารถเล่าถึงปัญหาของกลุ่มตลาดที่ VC เหล่านี้ไม่เคยรู้มาก่อนเพื่อแสดงให้เห็นว่าทำการบ้านมาอย่างดีและอยากเจาะตลาดนี้มากจริงๆ ส่วนในรอบ Series A จะเริ่มดูว่าโปรดักต์ของเรามีตลาดมารองรับหรือเปล่า มีผู้ใช้งานมากพอไหม พอเข้า Growth Stage ก็จะเริ่มดูสองอย่างคือ หนึ่ง ทะเยอทะยานและมองการณ์ไกลแค่ไหน VC จะไม่สนว่าเราสามารถทำกำไรได้ 2 เท่าหรือ 3 เท่าเพราะเขาต้องการลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพไปให้ถึงระดับหมื่นล้านเหรียญ สอง มีความสามารถในการดึงดูดคนเก่งให้เข้ามาทำงานได้ไหม เพราะทรัพยากรคนเป็นสิ่งจำเป็นที่จะผลักดันบริษัทให้ไปข้างหน้าได้
คำแนะนำสำหรับคนที่อยากลองทำธุรกิจนอกประเทศไทย
หลายคนอาจจะมองว่าการเจาะตลาดอื่นอาจจะมีอุปสรรคด้านภาษาหรือกฎข้อบังคับที่ต่างออกไปจากเมืองไทยทำให้การเริ่มต้นธุรกิจน่าจะทำได้ยากกว่า แต่พี่ญาดามองว่าความยากตรงนั้นถือว่าไม่ได้ใหญ่ระดับก้าวข้ามไปไม่ได้เมื่อเทียบกับความยากของการเริ่มต้นทำธุรกิจใดๆ ก็ตาม และถึงแม้จะทำธุรกิจในประเทศก็ต้องมาศึกษาหาความรู้กันใหม่อยู่ดี “การที่เราโตเมืองไทยไม่ได้แปลว่าเราจะรู้จักประเทศเราหรือลูกค้าเราดีขนาดนั้น” เธอจึงไม่อยากให้รู้สึกกลัวไปก่อน ถ้ามั่นใจในสิ่งที่กำลังจะทำก็อยากให้ลองไปให้สุด
นอกจากนี้การบุกตลาดนอกเมืองไทยก็มีข้อดี เพราะเราจะไม่ทึกทักไปก่อนว่าเราเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าดีอยู่แล้ว เราจึงมีแนวโน้มว่าจะหาข้อมูลด้วยความรอบคอบที่มากกว่า โอกาสผิดพลาดก็จะน้อยกว่าด้วย
สิ่งที่อยากฝาก
สำหรับคนรุ่นใหม่พี่ญาดาอยากฝากว่า ยิ่งเราเป็นเด็กจบใหม่ มันง่ายมากที่จะรู้สึกว่าโลกมีอยู่แค่นี้ รู้เท่านี้ก็พอแล้ว แต่โลกความจริงไม่ใช่แบบนั้น แม้กระทั่งกับคนระดับผู้บริหารก็ยังถามตัวเองอยู่เสมอว่ามีอะไรที่คนอื่นรู้แต่เรายังไม่รู้ ฉะนั้นเราก็ควรจะถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกันบ้าง
Personal Branding คืออะไร? สื่อสารอย่างไร? ในวันที่ตัวตนสำคัญกว่าตัวแบรนด์

FacebookFacebookXXLINELine‘แบรนด์’ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำธุรกิจ แต่หากเราพูดถึงการสร้างแบรนด์ในปัจจุบัน Personal Branding จะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนให้ความสนใจ และให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เมื่อพูดถึง Personal…