วันนี้ Career Fact จะมานำเสนอเรื่องราวของ ‘คุณวาว’ แวววรรณ กันต์นันท์ธร CEO สาวผู้เริ่มหาเลี้ยงตัวเองด้วยการขายของตั้งแต่ในวัยเพียง 13 ปี
เธอสร้างแบรนด์ Rosegold จนมียอดขายทะลุ 50 ล้านบาทในวัยแค่ 19 ปี
และปัจจุบันก้าวเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าหลายร้อยล้านบาท
เธอรับมือกับวิกฤติตั้งแต่อายุยังน้อยได้อย่างไร?
และอะไรที่ทำให้เธอสร้างแบรนด์สินค้าให้โด่งดังจนสามารถดึงชมพู่ อารยา มาเป็นพรีเซนเตอร์ได้?
ค้นหาคำตอบได้ในบทความนี้
ชีวิตวัยเด็กที่ต้องเริ่มต้นเร็วกว่าคนอื่น
เด็กสาวธรรมดาที่เติบโตจากครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยโดดเด่นแต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ลำบากมากต้องพบวิกฤติในชีวิตที่เข้ามาโดยที่ไม่ทันตั้งตัวในวัย 13 ปี เธอมักจะคิดเล่นๆ ว่าชีวิตช่วงนั้นเหมือน ‘นางฟ้าตกสวรรค์’ จากที่เคยอยู่โรงเรียนดีๆ อยู่ดีกินดี จู่ๆ วันหนึ่งต้องมาเจอวิกฤติจากปัญหาทางการเงินของครอบครัวจนทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไป แต่เธอไม่ได้ยอมให้วิกฤตินั้นมาผลักให้เธอล้ม เธอใช้มันพยุงให้เธอยืนขึ้นได้เร็วกว่าคนอื่น และเป็นจุดหักเหที่เธอเริ่มคิดว่าจะช่วยอะไรครอบครัวได้บ้าง ถึงแม้ปัญหาที่เธอกำลังเผชิญอาจจะยิ่งใหญ่เกินกว่าตัวเธอในวัยนั้นจะสามารถแก้ไขด้วยตัวเองได้ แต่อย่างน้อยเธอก็อยากจะอยู่กับปัญหานั้นให้ได้และนั่นก็ผลักดันให้เส้นทางชีวิตของเธอเริ่มต้นขึ้น
ชีวิตเปลี่ยนสู่การทำงาน
หลังจากต้องหาวิธีช่วยเหลือตัวเองและแบ่งเบาภาระคุณพ่อคุณแม่ คุณวาวตัดสินใจที่จะเริ่มต้นทำงานสักอย่าง แต่กลับต้องเจอข้อจำกัดแรกเมื่ออายุต่ำกว่าเกณฑ์จะเข้าทำงานพาร์ทไทม์ได้ และนั่นเองที่ทำให้เธอจึงหันมาสนใจการขายของ โดยแบ่งเงินค่าขนมที่ได้รับวันละ 40 บาทครึ่งหนึ่งเป็นเงินเก็บที่จะใช้ลงทุนทำ ‘ธุรกิจ’ เล็กๆ ของเธอเอง เมื่อเก็บออมเงินได้จำนวนหนึ่ง เธอก็นำเงินนั้นซื้อของมาขายกำไรค่อยๆ งอกเงยขึ้นจากหลักพันเป็นหลักหมื่น จนเธอสามารถหารายได้จากการขายของออนไลน์ได้ถึง 70,000 บาท ซึ่งเป็นเงินก้อนแรกในชีวิต ด้วยวัยเพียง 14 ปี เคล็ดลับของเธอคือการเลือกขายของที่ฮิตเป็นกระแสทั้งหินนำโชค ริสแบนด์ จนเริ่มสนุกกับการขายของ
เมื่อยิ่งสนุก ก็ยิ่งทำมากขึ้น โดยหลังจากนั้นคุณวาวก็ขายของมาตลอด ทั้งเปิดบูธ ทั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า ทุกอย่างที่เธอทำมาทั้งหมดอาศัยความสนุกเป็นเบื้องหลังเสมอ ก่อนที่จะเปิดตัวแบรนด์ Rosegold ในวัย 19 ปี แน่นอนว่าเรื่องการเรียนสำหรับเธอก็สำคัญ เพราะหลังจากสอบเทียบจนจบระดับมัธยมฯ เธอมีเงินเก็บและมีความตั้งใจที่จะสอบเข้าเรียนที่สาขา BJM คณะวารสารฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำให้เธอต้องหาจุดตรงกลางให้ได้ระหว่างเรื่องเรียนและการขายของ
คุณวาวยังทำงานหนักไปด้วยระหว่างเริ่มชีวิตมหาวิทยาลัย แต่ปัญหาการเงินของครอบครัวที่สะสมมากขึ้ ทำให้เธอคิดหนักอีกครั้งว่าจะเรียนต่อหรือทำงานหาเงิน สุดท้ายเธอตัดสินใจดรอปเรียนหลังเรียนไปเพียงหนึ่งปี ก่อนจะพลิกชีวิตมาโฟกัสกับธุรกิจแบรนด์ Rosegold ที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นและไปได้ดี “เราต้องคิดให้รอบคอบ คิดให้รอบด้านแล้วว่าจะเลือกทางนี้จริงๆ เราถึงเลือก” เธอกล่าว และเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วเธอยังมองว่าการเรียนสำคัญ เธอจึงกลับไปลงเรียนวิชาที่จะทำให้ได้วุฒิการศึกษาปริญญาตรีมาอีกด้วย
ความท้าทายที่เจอตลอดเวลา
หลายคนมักจะเห็นความสำเร็จของคนอื่นก่อน แต่ในความสำเร็จทุกอย่างมีความท้าทายมาตลอดเวลาเป็นสิ่งที่เธอย้ำกับเรา
“ความท้าทายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหยุดเจอได้เลย เมื่อผ่านเลเวลนึง ก็ต้องเจออีกเลเวลนึงอยู่ตลอด” คุณวาวกล่าว
ซึ่งเธอเปรียบให้เห็นภาพว่าเหมือนเล่นเกมแล้วผ่านด่าน ก็ต้องเจอด่านใหม่ที่มีมอนสเตอร์ตัวใหม่ที่เก่งขึ้น เจอไปเรื่อยๆ เหมือนที่เธอก็เจอความท้าทายมาตลอด ทั้งการเลือกชีวิตระหว่างเรียนและทำงาน ต่อมาเมื่อเปิดแบรนด์ Rosegold ช่วงแรกก็ต้องเจอกับกระแสที่ไม่ดีนักของธุรกิจอาหารเสริมสกินแคร์ แต่เธอก็เลือกที่จะสวนกระแสความไม่กล้านั้นจนผ่านมาได้ อีกทั้งยังมีความห่วงใยจากครอบครัวที่กลัวจะไปไม่รอดในทางสายธุรกิจ ทั้งหมดนี้คือความท้าทายที่เธอเจอมาตลอดทาง
จุดกระแสพรีเซนเตอร์คนแรก
“สักวันนึงเราอยากจะมีพรีเซนเตอร์ระดับสากล ตั้งแต่วันแรกที่ไม่มีอะไรเลย” คุณวาวตอบเมื่อพูดการที่ได้คุณชมพู่ อารยา มาเป็นพรีเซนเตอร์คนแรกของแบรนด์ Rosegold
นั่นคือโจทย์ที่คุณวาวตั้งให้เป็นกระดุมเม็ดแรกในธุรกิจของ Rosegold เพราะเธอบอกว่าการได้คุณชมพู่เข้ามาเป็นพรีเซนเตอร์นั้นเหมือนเป็นคำตอบที่ทุกคนต้องยอมรับว่าเขาเป็นตัวแม่ของด้านนี้จริงๆ ความเป็นคุณชมพู่แสดงออกถึงความคิดที่ว่า “แม่เลือกแล้วดีจริง” เธอกล่าว
แม้จะต้องใช้เวลานานในการสร้างความเชื่อมั่นเพื่อดึงตัวคุณชมพู่มาเป็นพรีเซนเตอร์ คนอื่นมักมองว่าอายุที่ยังน้อยนั้นเป็นข้อด้อยสำหรับการสร้างความเชื่อมั่นทางธุรกิจ แต่กับคุณวาวแล้วอายุน้อยกลับเป็นจุดเด่นที่เธอใช้มันในการพรีเซนต์ตัวเองให้เกิดความเชื่อมั่นในสิ่งที่เธอตั้งใจทำมาตลอด และมันก็คุ้มค่ามากเมื่อพรีเซนเตอร์คนแรกของแบรนด์คือ ชมพู่ อารยา สำหรับคุณวาวแล้วเธอมองว่ามันเป็นเหมือนทางที่ปูไว้แต่แรกให้เธอทำสินค้าที่ต่างประเทศทั้งหมด ทำสินค้าให้ดูมีความเป็นสากล และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมที่มองว่าสามารถในการติดต่อคุณชมพู่ได้เธอจึงไม่รีรอ
สำหรับแบรนด์ Rosegold คุณวาวบอกว่าสิ่งที่เธอให้ความสำคัญคือต้องมีเอกลักษณ์ในทุกมิติและทุกๆ ด้าน ไม่ได้เลือกเพียงแค่อย่างเดียวหรือไปในทางเดียวให้ดี เธอมองว่าจุดเด่นของ Rosegold คือการใส่ใจรายละเอียดทั้งตัวสินค้า บริการ ลูกค้าและพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจคือสิ่งที่ตั้งใจให้แตกต่าง เช่น ช่วงเจาะตลาดแบรนด์ออนไลน์ครั้งแรกที่สินค้ามีความคล้ายกัน เธอจึงเลือกที่จะใช้พรีเมียมแพ็กเกจเป็นจุดขาย ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้แตกต่างจากผู้เล่นรายอื่นในตลาด และอีกสิ่งที่เป็นหัวใจในการสร้าง Rosegold คือคุณวาวเลือกที่จะไม่หันไปมองคู่แข่งหรือคนอื่นเพราะเธอเชื่อว่ายิ่งเห็นคนอื่นทำ ก็จะบังคับให้เราต้องดีเหมือนเขา หรือดีกว่าเขา แต่การเลือกที่จะไม่มองต่างหากที่จะทำให้เราโฟกัสกับสิ่งที่ตัวเองคิด และทำมันออกมาตามแผนที่วางไว้
นิยามความสำเร็จ
“ต้องทำให้ลูกค้าและพาร์ทเนอร์สำเร็จ มองเห็นคุณค่าที่เขาจะได้ นั่นคือคุณค่าสำหรับเรา” เธอกล่าว
บางธุรกิจอาจมองว่าตัวเงินเป็นเรื่องแรกแต่สำหรับคุณวาวแล้วเธอมองว่าเงินเป็นปัจจัยรองหลังจากนั้น เพราะสิ่งที่เธอเชื่อก็คือความสำเร็จของเธอต้องมีในระยะยาว เธอจึงต้องทำให้ลูกค้ากับพาร์ทเนอร์เชื่อมั่นและให้เกียรติในแบรนด์ คุณค่าที่มอบให้กับลูกค้าจึงเป็นสิ่งที่เธอคาดหวังมากที่สุด
ก้าวข้างหน้าของอนาคต
ในวันนี้แบรนด์ Rosegold ของเธอได้รับการยอมรับและทำเงินได้กว่า 700 ล้านบาท ซึ่งประสบความสำเร็จแล้วในเรื่องของรายได้และกระแสที่ดีจากการเปิดตัวพรีเซนเตอร์อย่างคุณชมพู่ อารยา แต่อนาคตข้างหน้าเธอมองว่าเป้าหมายที่เธอต้องการไปให้ถึงเสมอคือการทำให้แบรนด์ Rosegold มีความเป็นสากลอย่างที่เธอตั้งใจไว้ตั้งแต่เริ่มธุรกิจนี้
“ก้าวต่อๆ ไป ต้องไปสู่สากลให้ได้มากที่สุดอยู่ตลอดเวลา จะต้องเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยให้ได้มากที่สุด” เธอกล่าวยืนยันอีกครั้ง
เคล็ดลับการทำงานและเป้าหมาย
สำหรับการทำงานแล้ววิธีการเป็นสิ่งที่ทุกคนมีอยู่แล้ว แต่คุณวาวบอกว่าแพชชั่นหรือแรงผลักทำให้คุณวาวตั้งใจทำทุกอย่างที่ต้องการ เธอคิดถึง ‘รางวัลชีวิต’ เสมอว่าจะได้อะไรจากมันหากตั้งใจทำให้สำเร็จ เหมือนที่เธอทำงานจนถึงตี 1 ตี 2 แต่ยังสนุกอยู่ เพราะเรารู้ว่าเราจะได้ผลลัพธ์อะไรกลับมา
เมื่อถามถึงเป้าหมายส่วนตัวเธอให้คำตอบว่า “ในแต่ละช่วงก็จะมีเป้าหมาย ก่อนหน้านั้นเป้าหมายก็คงจะเป็นการสร้างครอบครัว ซึ่งรางวัลคือการสร้างครอบครัวให้ประสบความสำเร็จและดีที่สุด” ส่วนปัจจุบันในวันที่เธอเป็นคุณแม่แล้ว รางวัลชีวิตหลังจากนี้ก็คือการดูแลลูก สามี และคุณพ่อคุณแม่ให้มีชีวิตที่ดี เธอบอกว่าเธอคิดเป้าหมายอยู่ในหัวตลอด นั่นทำให้เธอไม่เหนื่อยที่จะทำงาน สนุกกับงานที่ทำ แต่ท้ายที่สุดก็ต้องจัดสรรเวลาให้มีการผ่อนคลายอยู่ด้วยเพราะนั่นก็ไม่ต่างจากรางวัลชีวิตเล็กๆ ที่ตั้งไว้ให้กับตัวเอง
บทเรียนถึงทุกคน
คุณวาวอยากฝากถึงคนรุ่นใหม่และทุกคนว่า ไม่ว่าอยากจะทำอะไรก็ตาม อย่าคิดไปก่อนว่าจะเจอปัญหาและอย่ากลัวที่จะเผชิญกับปัญหา ให้ลองปรับวิธีคิดเป็น “ลงมือทำเลย” เธอบอกว่าต่อให้ผิดพลาดหรือเจอปัญหาบ้าง ก็ต้องหาวิธีแก้ปัญหานั้นให้ได้ เราจะเรียนรู้และเก่งขึ้นจากการแก้ปัญหาต่างๆ เพราะคุณวาวพยายามที่จะไม่คิดเยอะ ไม่เคยคิดว่าไม่มีหรือมีน้อยกว่าคนอื่น ทุกสิ่งที่เธอเลือกทำก็มีเหตุผลมาจากความชอบ สุดท้ายแล้วเมื่อได้ลงมือทำก็จะรู้ว่าสิ่งที่พลาด และปัญหาคืออะไร
นอกจากนี้เธอบอกว่าอยากแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่า ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นใคร เธออยากจะเป็นกำลังใจและแรงบันดาลใจส่วนเล็กๆ ให้วัยรุ่นและทุกคนเชื่อมั่นในตัวเองและเธอก็เชื่อว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับทุกคน
“วาวคิดว่าความสามารถหรือปัจจัยภายนอกไม่ได้เป็นข้อจำกัด แต่มันเป็นสิ่งที่อยู่ข้างใน เป็นแพชชั่นว่าเราอยากจะทำอะไร มันต้องมีอะไรที่จุดประกาย” เธอกล่าว
Personal Branding คืออะไร? สื่อสารอย่างไร? ในวันที่ตัวตนสำคัญกว่าตัวแบรนด์

FacebookFacebookXXLINELine‘แบรนด์’ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำธุรกิจ แต่หากเราพูดถึงการสร้างแบรนด์ในปัจจุบัน Personal Branding จะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนให้ความสนใจ และให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เมื่อพูดถึง Personal…