The Rock: นักมวยปล้ำและนักแสดงร่างยักษ์ที่เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

ในปัจจุบัน คงแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครไม่รู้จักนักแสดงหุ่นล่ำบึกและน่าเกรงขามอย่าง “ดเวย์น จอห์นสัน” หรือ เดอะร็อค ที่หลายปีมานี้เรามักจะเห็นหน้าของเขาปรากฏอยู่บนจอภาพยนตร์เสมอ

วันนี้ Career Fact จะพามารู้จักกับนักแสดงสุดล่ำคนนี้ว่ากว่าจะมาเป็นนักแสดงแถวหน้าของโลกนั้น จุดเริ่มต้นของเขาไม่ง่ายเลย

The Rock ทายาทนักมวยปล้ำ

ดเวย์น จอห์นสัน (Dwayne Johnson) เกิดเมื่อปี 1972 ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย เขาเป็นลูกชายของร็อคกี้ จอห์นสัน (Rocky Johnson) นักมวยปล้ำแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกที่คว้าแชมป์แบบแท็กทีม และยังเป็นหลานชายของปีเตอร์ มายเวีย (Peter Maivia) นักมวยปล้ำเชื้อสายซามัวอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจที่ดเวย์นจะเติบโตมากับธรรมชาติของการเป็นนักมวย

ในช่วงวัยเด็ก ดเวย์นอาศัยอยู่กับคุณแม่ของเขาที่นิวซีแลนด์ก่อนที่เขาจะย้ายกลับมาอยู่ที่อเมริกากับคุณพ่อ แต่ด้วยความที่กีฬามวยปล้ำที่ยังไม่เป็นที่นิยมนักทำให้รายได้ของครอบครัวค่อนข้างฝืดเคือง ดเวย์นในวัย 14 ปี จึงเลือกที่จะออกตระเวนฉกชิงวิ่งราวกับกลุ่มเพื่อนแล้วนำไปขายและหัดปลอมเช็คไปแลกเงินสดอีกด้วย

Dwayne Johnson ในฐานะนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล

เมื่ออายุได้ 16 ปี ดเวย์นที่กำลังใช้ชีวิตโลดโผนอยู่นั้นก็มีโอกาสได้เริ่มเล่นกีฬาอเมริกันฟุตบอลตามคำแนะนำของครูประจำโรงเรียนเนื่องจากเขามีร่างกายที่ใหญ่โตและแข็งแกร่งบวกกับที่นิสัยก้าวร้าวดุดัน นั่นจึงทำให้เขาเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองอย่างมากในเวลานั้น

ดเวย์นจึงได้รับโควต้าจากมหาวิทยาลัยชื่อดังมากมายเพราะใครๆ ก็อยากได้ตัวเขาไปร่วมทีม ท้ายที่สุดเขาตัดสินใจเข้าร่วมทีม Miami Hurricanes ของมหาวิทยาลัยไมอามีโดยลงเล่นในตำแหน่ง Defensive Lineman ซึ่งเขาก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมจากการทำสถิติแท็กเกิลสำเร็จ 77 ครั้งในการลงสนาม 39 เกม และสามารถพาทีมคว้าแชมป์ระดับประเทศในปี 1991 ได้สำเร็จ 

อนาคตสุดริบหรี่กับเงิน 7 ดอลล่าร์

อนาคตช่างดูสดใส อย่างไรก็ตามดเวย์นต้องเผชิญกับอาการบาดเจ็บที่ไหล่อย่างหนักซึ่งทำให้ระยะเวลาในการลงเล่นของเขาลดลงไปด้วย ดเวย์นจึงดีไม่พอที่ถูกดราฟต์ไปเล่น NFL ท้ายที่สุดเขาตัดสินใจไปเล่นให้ทีม Calgary Stampede ที่ประเทศแคนาดา แต่อยู่ไปได้ 2 เดือน เขาก็ถูกตัดออกจากทีม 

หลังถูกตัดออกจากทีม ดเวย์นก็เดินทางกลับไมอามี่พร้อมกับเรียกพ่อของเขาให้มารับที่สนามบิน เขานั่งรถกลับพร้อมกับคิดว่าอนาคตในวงการอเมริกันฟุตบอลช่างริบหรี่เหลือเกิน เขาหยิบกระเป๋าตังของเขาออกดูและพบว่าเขามีเงินติดตัวเพียงแค่ 7 ดอลลาร์เท่านั้น ทันใดนั้นเขาก็บอกตัวเองว่าจะต้องทำทุกวิถีทางให้มีเงินมากกว่านี้

ผันตัวเข้าสู่วงการมวยปล้ำ

ไม่นานหลังจากนั้น เดอะร็อคก็ขอร้องให้พ่อบังเกิดเกล้าของเขาอย่าง ร็อกกี้ จอห์นสัน ถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้ทั้งหมดให้และช่วยให้เขาเข้าสู่วงการมวยปล้ำให้ได้ แม้ร็อกกี้จะไม่เต็มใจช่วยในตอนแรก แต่ในที่สุด ดเวย์นก็ได้ขึ้นสังเวียนอาชีพครั้งแรกในศึก WWE ปี 1996 กับ Brooklyn Brawler ด้วยฉายา ‘ร็อกกี้ มายเวีย’ (Rocky Maivia) ที่ได้จากการเอาชื่อของคุณพ่อและคุณตาของเขามารวมกัน

หลังจากขึ้นสังเวียนไปได้สักพัก ดเวย์นก็สามารถคว้าแชมป์ USWA แบบแท็กทีมร่วมกับ Bart Sawyer มาได้สำเร็จ นั่นจึงทำให้ WWE จัดการเซ็นสัญญากับดเวย์นพร้อมกับฉายาใหม่อย่าง Flex Kavana หนึ่งปีต่อมา ดเวย์นก็เข้ามาเป็นผู้นำของทีม The Nation of Domination พร้อมกับเปลี่ยนฉายาของตัวเองอีกครั้งเป็น ‘เดอะร็อค’ (The Rock) 

เดอะร็อคใช้เวลาไม่นานก็สามารถคว้าแชมป์ WWE มาครองได้สำเร็จ เขากลายเป็นแชมป์โลกที่อายุน้อยที่สุดในขณะนั้นด้วยวัย 26 ปี ด้วยทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง บุคลิกที่น่าจดจำ มีท่าไม้ตายเฉพาะตัวอย่าง Rock Bottom และ People’s Elbow รวมทั้งทักษะการเอ็นเตอร์เทนคนดูที่เร้าใจ ทำให้เขาได้รับฉายา The People’s Champ มาครองได้อย่างรวดเร็ว

ตลอดระยะเวลา 9 ปี เดอะร็อคสามารถกวาดแชมป์มาได้ทั้งหมด 17 รายการ เขาเป็นแชมป์โลก 9 สมัย โดยคว้าแชมป์โลกของ WWE มาได้ 7 สมัย และคว้าแชมป์โลก WCW มาได้ 2 สมัย รวมไปถึงแชมป์อื่นๆ ได้แก่ แชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัล 2 สมัย แชมป์โลกแท็กทีมของ WWE 5 สมัย และเป็นผู้ชนะใน The Royal Rumble ในปี 2000

โอกาสสู่นักแสดง

ในขณะที่กำลังรุ่งโรจน์กับมวยปล้ำ เดอะร็อคก็ได้มีโอกาสก้าวเท้าเข้าสู่วงการมายาเช่นกัน เขาได้รับเลือกให้มารับบท Scorpion King ในภาพยนตร์เรื่อง The Mummy Returns แต่มีแอร์ไทม์เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น แต่นี่ก็ถือว่าเป็นก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่ของการเป็นนักแสดงภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์อย่างแท้จริง เพราะหลังจากนั้นเดอะร็อคได้กลับมารับบทนี้อีกครั้งในเรื่อง The Scorpion King ซึ่งเป็นภาคแยกของภาพยนตร์เรื่องก่อนตามคำเรียกร้องของแฟนๆ ซึ่งเขาได้รับค่าตัวไปเต็มๆ ถึง 5.5 ล้านเหรียญ

หลังจากนั้นเขาก็รับงานแสดงสลับกับมวยปล้ำมาตลอด จนกระทั่งเขาได้เล่นหนังเรื่อง Walking Tall ซึ่งทำให้คนดูเริ่มจดจำเขาในฐานะนักแสดงมากขึ้น เดอะร็อคจึงตัดสินใจยุติบทบาทนักมวยปล้ำอย่างเป็นทางการในปี 2004 ซึ่งเป็นช่วงที่สัญญาของเขากับ WWE หมดลงเช่นกัน

พอประกาศลงจากเวทีมวยปล้ำ งานแสดงก็เข้ามาหาเดอะร็อคไม่หยุดหย่อนทั้งในบทหลักและบทรอง อย่างเช่นภาพยนตร์เรื่อง Be Cool (2005), Doom (2005), The Game Plan (2007), Get Smart (2008) หรือ Faster (2010) 

นักแสดงพันล้าน

อย่างไรก็ตามภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จเรื่องแรกของเขาก็คือการรับบท ลุค ฮ็อบส์ ใน Fast Five (2011) ที่กวาดรายได้ทั่วโลกไปถึง 626.1 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเดอะร็อคได้ค่าตัว 32.6 ล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่านักแสดงหลักอย่าง วิน ดีเซลล์ หรือ พอล วอล์คเกอร์เสียอีก ซึ่งความสำเร็จนี้ยังต่อยอดไปถึงแฟรนไชส์ภาพยนตร์เร็วแรงทะลุนรกในภาคต่อๆ ไปอีกด้วย

เดอะร็อคกลายมาเป็นนักแสดงแถวหน้าของฮอลลีวู้ดอย่างเต็มตัว ในปี 2016 เขาเป็นนักแสดงนำชายที่มีรายได้มากที่สุดในโลกกับจำนวนเงิน 64.5 ล้านเหรียญสหรัฐหรือราวๆ 2.1 พันล้านบาท จากการแสดงเรื่อง San Andreas, Central Intelligence, Baywatch และ The Fate of the Furious 

นักแสดงแถวหน้าของฮอลลีวู้ด

ในช่วงหลังๆ เดอะร็อคก็ยังมีภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ออกมาให้รับชมอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์ที่สร้างมาจากเกมส์อย่าง Jumanji ทั้ง 2 ภาค และ Rampage ที่กวาดรายได้รวมกันเกิน 2 พันล้านเหรียญ หรือภาพยนตร์แอ็คชั่นอย่าง Skyscraper และ Hobb & Shaws ก็ทำรายได้รวมกันสูงเกินพันล้านเหรียญเช่นกัน

ปัจจุบันเดอะร็อคก็ยังคงโลดแล่นอยู่ในฮอลลีวู้ดส์ เขาได้ร่วมงานกับนักแสดงมากฝีมืออย่าง ไรอัน เรย์โนลด์ส (Ryan Reynolds) และ กัล กาด็อต (Gal Gadot) ในเรื่อง Red Notice ซึ่งมีกำหนดฉายทาง Netflix ในวันที่ 5 พ.ย. ที่กำลังจะถึง นอกจากนั้นเขามีโปรเจกต์ก้าวเข้าสู่จักรวาล DC เป็นครั้งแรกกับบทบาท Black Adam ซึ่งมีกำหนดการฉายในเดือนเมษายนปี 2022  

เดอะร็อคถูกประเมินทรัพย์สินไว้อยู่ที่ 400 ล้านเหรียญสหรัฐหรือราวๆ 1.3 หมื่นล้านบาท เขาถูกประเมินให้เป็นนักแสดงที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลก นับเป็นการเดินทางที่แสนจะยาวไกลเหลือเกิน จากนักกีฬาที่ดูหมดอนาคตสู่การเป็นนักแสดงอันดับต้นๆ ของโลก แต่ทั้งหมดนี้ใช่ว่าโชคชะตาจะเป็นสิ่งที่กำหนดเขาอย่างเดียว เพราะเขาก็เป็นคนที่กำหนดทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเองเช่นกัน ดังคำพูดของเดอะร็อคที่ว่า

ความสำเร็จไม่ได้เกี่ยวกับความยิ่งใหญ่เสมอไป แต่มันเกี่ยวกับความสม่ำเสมอ ความขยันหมั่นเพียรนำมาซึ่งความสำเร็จ แล้วความยิ่งใหญ่จะตามมาเอง

อ้างอิง https://bit.ly/2ZHiEFN https://bit.ly/318m4Sd https://bit.ly/2ZA0u96

สูตรความสำเร็จกับ "ที่สุด" ของประเทศ

คอร์สออนไลน์กับผู้บริหาร ผู้นำทางความคิด แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

Verified by MonsterInsights