ธนพร สู่ประเสริฐ: หญิงสาวที่ลาออกจากงานเงินเดือนเกินครึ่งแสน เพื่อหางานในต่างแดน

Home » Career Fact » Interview » ธนพร สู่ประเสริฐ: หญิงสาวที่ลาออกจากงานเงินเดือนเกินครึ่งแสน เพื่อหางานในต่างแดน

เมื่อลองทำตามสิ่งที่สังคมคาดหวังแล้วไม่รู้สึกเติมเต็ม เธอจึงสะพายกระเป๋าออกค้นหาความหมายชีวิตบนเส้นทางที่เธอเลือกเอง

วันนี้ Career Fact ขอนำเสนอเรื่องราวของ ‘แก้วตา’ หญิงสาวที่ลาออกจากงานเงินเดือนเกินครึ่งแสน เพื่อไปเริ่มต้นจากศูนย์กับชีวิตและการหางานในต่างแดน เพราะต้องการพิสูจน์ว่าทางที่เธอเลือก คือทางที่มีความหมายที่สุดสำหรับตัวเอง

เพราะสงสัยจึงตั้งคำถาม

ชีวิตวัยเด็กของแก้วตาเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้เธออยากพิสูจน์ตัวเอง

แก้วตาในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อรู้สึกว่าตัวเองเติบโตท่ามกลางความคาดหวังที่ได้รับจากคนในครอบครัวว่าต้องเดินบนเส้นทางที่มั่นคงที่ถูกนิยามโดยสูตรสำเร็จในสังคม และเนื่องจากเป็นพี่สาวคนโตของบ้านก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอต้องทำหน้าที่เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่น้องๆ ด้วย

เวลาไปโรงเรียน สิ่งที่เธอคิดอยู่ตลอดเวลามีเพียงแค่ต้องทำเกรดให้ดีเพื่อทำให้พ่อแม่ภูมิใจและซึ่งเธอก็ทำเกรดออกมาได้ดีตามที่ทุกคนคาดหวัง แต่ถ้าถามว่าเธอดีใจไหม แก้วตาตอบว่าเธอก็ดีใจ แต่ความยินดีนั้นมาจากการเห็นคุณพ่อคุณแม่ภูมิใจ ไม่ใช่มาจากความรู้สึกจากเบื้องลึกของเธอเอง

นี่จึงเป็นจุดที่เธอเริ่มตั้งคำถามว่าทำไมต้องทำตามเสียงของคนอื่น ทั้งเสียงที่พูดกับเราโดยตรง หรือทางอ้อมจากค่านิยม เพราะในเมื่อเธอลองทำแล้วและทำออกมาได้ดี แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าได้รับการเติมเต็มหรือมีความสุขจากใจจริง แถมพอเริ่มโตขึ้น เธอได้มีสังคมใหม่ๆ ได้เจอบางคนที่มีชีวิตต่างจากเธอโดยสิ้นเชิง แต่ก็ยังสามารถมีความสุขและพึงพอใจกับชีวิตได้ ก็ยิ่งตอกย้ำสิ่งที่เธอตั้งคำถาม ความคิดที่จะลองออกนอกกรอบจึงค่อยๆ สั่งสมขึ้นมา

แรงกดดันที่บีบอัดจนระเบิด

ความคาดหวังว่าอยากให้เราเป็นหมอ มันทำให้เรารู้สึกเหมือนตัวเองถูกบีบอยู่ในกระป๋องตลอดเวลา

แก้วตาเล่าให้ฟังว่าเธอถูกรายล้อมไปด้วยสังคมคนเป็นหมอมาตั้งแต่จำความได้ เพราะทั้งคุณแม่และญาติคนอื่นๆ ก็เป็นหมอกันหลายคน ตอนเด็กๆ แก้วตาไปโรงพยาบาลบ่อยมาก ไม่ใช่เพราะเธอไม่สบายแต่เพราะคุณแม่ชอบพาเธอไปดูตอนทำงาน

ทว่า ถึงแม้จะได้เห็นภาพคุณแม่ตอนดูแลช่วยเหลือคนไข้บ่อยๆ เธอก็ไม่ได้ซึมซับอะไรมากนัก เพราะตอนนั้นเธอเหมือนใส่แว่นดำอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่ต้องไปโรงพยาบาลเธอจะคิดแค่ว่า “ทำไมต้องมาบังคับกันด้วย?”

เธอทำตามสิ่งที่คนอื่นบอกว่าดีมาตลอด จนกระทั่งถึงช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เธอตัดสินใจฟังเสียงตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิต โดยเธอให้เหตุผลกับคนรอบข้างว่า เธออยากเลือกเส้นทางชีวิตของเธอเองและเธอก็ตั้งใจจะรับผิดชอบมันด้วยตัวเองหากมีอะไรผิดพลาด เพราะถ้าเธอทำตามสิ่งที่คนอื่นเลือกให้ แล้วสุดท้ายผลออกมาไม่ดี เธอก็คงอดที่จะโทษคนเหล่านั้นไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็มองว่าการโทษคนอื่นนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์กับใครเลย เธอจึงเชื่อว่า การได้มีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตัวเอง คือสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร

แต่มากกว่านั้นคือเธออยากลองพิสูจน์ให้เห็นว่าถึงแม้เธอจะไม่เป็นหมอ ถึงแม้เธอจะเลือกเส้นทางที่แตกต่างจากคนในวงสังคมที่เธอเติบโตมา เธอก็ประสบความสำเร็จในแบบของเธอได้ สุดท้ายจึงมาจบที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาควิชาสถิติ สาขา IT เพราะส่วนตัวค่อนข้างสนใจวิชาเลขและมองว่าทักษะด้าน IT น่าจะเป็นที่ต้องการในอนาคต

ปัจจุบันพอย้อนกลับมามองตัวเองในอดีต เธอถึงตระหนักได้ว่าความคาดหวังและแรงกดดันที่เธอรู้สึกในวัยเด็ก ความจริงแล้วมันคือความหวังดีจากครอบครัวที่อยากเห็นเธอมีชีวิตที่ดี เพียงแต่ในตอนนั้นเธอยังไม่เข้าใจเท่านั้นเอง

เกือบจะปลดล็อก

แน่นอนว่าเมื่อมีเป้าหมายเป็นการพิสูจน์ตัวเอง เธอก็ต้องทุ่มเทไม่ขาดให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ตั้งใจ แก้วตายังตั้งใจเรียนและรักษาเกรดเช่นเดิมเพราะถึงแม้เธอจะไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของที่บ้านทั้งหมด แต่ครอบครัวก็ยังเป็นสิ่งที่เธอให้คุณค่ากับมันมากๆ เธอจึงไม่อยากทำให้พวกเขาผิดหวัง แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ค้นหาตัวเองไปเรื่อยๆ ด้วยการทำกิจกรรมและฝึกงาน

จนเมื่อเรียนจบ Sea Group บริษัทในฝันของเด็กจบใหม่ที่เงินเดือนสตาร์ทสูงกว่าเงินเดือนเด็กจบใหม่ส่วนใหญ่ไปหลายเท่า ก็รับเธอเข้าทำงาน ซึ่งเธอเป็น 1 ใน 10 จากบรรดาผู้สมัครราวพันคน

แต่ถึงแม้เธอจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นได้แล้วว่าไม่ต้องเป็นหมอก็มีหน้าที่การงานที่ดีได้ แต่เธอกลับรู้สึกว่า การเป็นที่ยอมรับจากสังคมหรือการถูกชื่นชมจากคนแปลกหน้า ส่วนใหญ่เป็นเพราะชื่อตำแหน่ง หรือชื่อสถาบัน ไม่ใช่เพราะความสามารถล้วนๆ ของเธอ และในทางกลับกัน เธอก็เห็นว่าคนที่มีความสามารถ แต่อาจจะไม่ได้เสียงดัง ก็ยากที่จะถูกคนในสังคมมองเห็นเพราะแสงไฟส่องไม่ถึง สุดท้ายเธอพบว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ หรือชีวิตที่อยากจะมี

จากการสังเกตโลกภายนอกสู่การค้นหาความหมายของชีวิตภายใน

หากการตั้งคำถามในวัยเด็กทำให้เธอได้ออกจากกรอบของการเป็นหมอ การออกเดินทางก็ทำให้เธอได้ออกจากกรอบของความสำเร็จที่ชี้วัดด้วยเงินเดือนและตำแหน่งงาน

ตอนช่วงปิดเทอมใหญ่ตอนปี 2 ขึ้นปี 3 เธออยากฝึกพูดภาษาอังกฤษ เธอจึงลองทำหน้าที่โฮสต์ให้กับชาวต่างชาติที่มาพักที่ไทย ซึ่งแขกที่เธอต้อนรับก็ทำให้เธอเซอร์ไพรส์หลายอย่างตั้งแต่วัฒนธรรมที่ต่างกัน (เช่น เจอกันครั้งแรกก็กอดทักทายเธอแล้ว) จนถึงเป้าหมายในชีวิตคือการได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทยถาวร การได้พูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองกับชาวต่างชาติ ทำให้เธออยากลองเปลี่ยนจากโฮสต์ไปเป็นแขกที่ต่างประเทศดูบ้าง เธอจึงฝันอยากออกเดินทางมาตั้งแต่ตอนนั้น

เธอมาได้จังหวะเที่ยวแบ็คแพ็คตอนก่อนเริ่มงานที่ Garena หลังจากพบว่ามีเวลาว่างก่อนเริ่มงานอยู่ 1 เดือน โดยเธอเลือกไปโซนยุโรปเพราะมองว่าค่อนข้างปลอดภัยสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียว โดยออกเดินทางครั้งนี้มีจุดประสงค์ที่ชัดเจนแต่แรกว่าไปเพื่อพบปะกับ ‘คน’ เพราะเธออยากรู้ว่าพวกเขามีมุมมองการใช้ชีวิตและมีเป้าหมายอย่างไร แตกต่างจากคนรอบตัวเธอมากแค่ไหน

เราเชื่อคำพูดที่บอกว่า คนเราเป็นกระจกของกันและกัน เพราะเราสามารถนำเรื่องราวของคนอื่นมาสะท้อนความคิด ตั้งคำถามกับตัวเองได้เสมอ

แก้วตากล่าว

การออกเดินทางทำให้เธอได้เห็นแง่มุมการใช้ชีวิตและความสำเร็จที่ต่างออกไป เธอพบว่าชีวิตคนเรามีหลายเส้นทางให้เลือกนอกเหนือจากการตั้งใจเรียนเพื่อจบมาแล้วต้องได้งานเงินเดือนสูงๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงอยากลองค้นหาความหมายของชีวิตในมุมอื่นๆ ดูบ้าง เช่น ชีวิตที่นอกเหนือจากการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นงานอดิเรกหรือความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

เมื่อเธอได้พบเส้นทางใหม่ที่น่าค้นหา พอกลับถึงไทยและทำงานที่ Garena ต่อไม่นาน เธอก็ตัดสินใจลาออก

แน่นอนว่าการจะลาออกจากตำแหน่งและบริษัทที่ดีก็ไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่ายดาย ผู้คนรอบตัวไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ของเธอ แต่ทุกครั้งที่เธอลังเล เธอจะถามตัวเองเสมอว่า “ถ้าไม่ทำตอนนี้ แล้วจะทำตอนไหน” เพราะหลายครั้งเราจะพบว่า เราแทบไม่มีเหตุผลในการ ‘รอ’ เลย

อิสรภาพที่ตุรกี

หลังจากลาออก แก้วตาก็เริ่มหางานใหม่ คราวนี้เธอหวังอยากลองไปทำงานที่ต่างประเทศ เพราะความสงสัยว่า ที่อื่นผู้คนใช้ชีวิตกันอย่างไร ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับเธอไม่น้อย เพราะต้องแข่งกับคนท้องถิ่นด้วย และพูดกันตามตรงมหาวิทยาลัยในไทยก็ไม่ได้มีชื่อเสียงระดับโลก อีกทั้งหลายๆที่ก็ไม่ได้ให้คุณค่ากับชื่อเสียงของสถาบันหรือองค์กร กว่าจะได้งานๆ หนึ่ง ต้องพิสูจน์ความสามารถของตัวเองมิใช่น้อย จึงไม่ใช่เรื่องง่าย

บทเรียนครั้งยิ่งใหญ่จากการออกจาก Comfort Zone ครั้งนี้คือการถูกปฏิเสธ ที่เธอไม่ค่อยได้เจอมาก่อนหน้านี้ การที่เธอต้องสมัครไปนับร้อยที่ ถูกปฏิเสธไม่รู้กี่ครั้ง และในระหว่างนั้นก็ต้องทนรับแรงกดดันจากที่บ้านและตัวเองอีก เพราะพอลาออกมา รายรับต่อเดือนของเธอจากเกินครึ่งแสนก็กลายเป็นศูนย์ ทั้งหมดนี้ทำให้เธอได้คิด คุยและทำความเข้าใจตัวเองเยอะขึ้น เธอใช้เวลาอยู่พักใหญ่จนกระทั่งได้งานแรกที่ตุรกี ซึ่งเป็นโปรเจกต์ระยะสั้น

ทั้งที่ไม่มีใครเห็นด้วย เพราะกังวัลเรื่องความปลอดภัย เธอก็ตัดสินใจไปอยู่ดี สิ่งแรกที่เธอค้นพบหลังจากเยือนตุรกีคือคำว่า ‘อิสระ’ เมื่อเธอพาตัวเองมาอยู่ในที่ที่เธอไม่รู้จักใครแล้วก็ไม่มีใครที่รู้จักเธอ ในที่ที่ผู้คน พูดภาษาที่เราไม่เข้าใจ เธอก็มีโอกาสได้ลองทำความเข้าใจกับตัวตนข้างในของตัวเองมากขึ้น และในขณะเดียวกันก็ได้แสดงความเป็นตัวเองออกสู่โลกภายนอกมากขึ้นเช่นกัน เธอยังสนุกกับการใช้ชีวิตที่แตกต่างจากตอนอยู่เมืองไทยด้วย

เธอได้เจอเหตุการณ์ใหม่ๆ เหนือความคาดหมายบ่อยครั้ง เพราะความแตกต่างของคน ก็ทำให้เธอตระหนักได้ว่า สิ่งที่เธอถูกสอนมา เป็นเพียงความเชื่อหรือค่านิยมของสังคมหนึ่งเท่านั้น บางครั้งภาพจำหรือสิ่งที่ได้ยินมาก็ไม่ได้เป็นสูตรตายตัวเสมอไป เธอจึงหมายมั่นปั้นมือว่าเธอจะไม่หยุดใช้ชีวิตในทางที่เธอเลือก นั่นคือการออกตามหาและทำความเข้าใจชีวิตต่อไป .

งานสำคัญแต่ไม่ใช่ทุกอย่าง

หลังจากนั้นเธอพาตัวเองมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ประเทศเยอรมนี ที่นี่มีวัฒนธรรมการทำงานที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากที่ไทย คือการให้คุณค่ากับการใช้ชีวิตมากกว่างาน และมองว่างานเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต Work-life Balance เป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสำคัญ เพื่อนร่วมงานของเธอหลายคนก็ทุ่มเทกับงานอดิเรกอย่างจริงจัง และใช้เวลากับด้านอื่นของชีวิต เช่น ครอบครัว และความสนใจ

แต่แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงมักจะมากับความท้าทาย ซึ่งเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อได้เจอแนวคิดในการทำงานที่แตกต่างจากแนวคิดที่เธอคุ้นเคย เช่น ค่านิยมที่ว่าคนโหมงานหนักมักจะเป็นคนเก่ง ก็ไม่ได้ถูกเสมอไป เพราะผู้คนที่นี่ให้ความสำคัญกับผลงานมากกว่าเวลาที่ใช้ในการทำงาน ดังนั้นเพื่อนร่วมงานที่กลับบ้านเร็ว ก็ไม่ได้แปลว่าทำงานไม่ดีเสมอไป ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งใหม่สำหรับเธอ เธอจึงต้องพยายามปรับทัศนคติและเรียนรู้การปรับมุมมองอยู่บ่อยครั้ง แต่เธอก็มองว่านี่เป็นความสนุกรูปแบบหนึ่งและเป็นสังคมที่เธออยู่แล้วสบายใจ เข้ากับตัวเธอ ณ เวลานี้ และเป็นสิ่งที่เธอตามหามาตลอดตั้งแต่เด็ก

คำตอบของสิ่งที่ตามหา

เมื่อเราถามแก้วตาว่าเจอความหมายของชีวิตที่ตามหาแล้วหรือยัง เธอก็ตอบกลับมาว่า สำหรับเธอ การใช้ชีวิต กับการค้นหาความหมายของชีวิต มันเดินทางไปด้วยกัน วันนี้ได้ค้นพบว่าเราคิดแบบนี้ เป็นแบบนี้แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตจะมีแค่นั้น คนเราเติบโตขึ้นทุกวันและ เธอเชื่อว่าตราบใดที่ไม่หยุดสงสัยและค้นหา เราก็จะค้นพบเจอตัวเราเองในแง่มุมที่แปลกใหม่อยู่เสมอ

ส่วนในแง่ของเส้นทางอาชีพ เธอก็หาจุดที่รู้สึกว่าพอดีได้แล้วเหมือนกัน เธอมองว่า เราไม่จำเป็นต้องทำสิ่งที่เรารักที่สุดเป็นงานประจำก็ได้ ไม่ต้องค้นหาสิ่งที่รักที่สุดจนเจอจนจะสามารถลงมือทำ คนเราใช้ชีวิตหลายบทบาทได้ เธอเองเลือกงานประจำเป็นสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งที่เธอรักมากที่สุด แต่เป็นสิ่งที่เธอสนใจ ทำได้ดีและสร้างคุณค่าได้ ส่วนงานที่เธอรักจริงๆ คืองานสอน เธอก็เลือกที่จะทำมันในเวลาว่าง ทำให้เธอได้สิ่งที่รักมากๆ ไปควบคู่กับการสร้างตัวจากงานประจำ

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการคืออะไร? เธอได้ฝากไว้ 2 วิธีที่ได้ผลกับเธอ

พาตัวเองออกมาจากที่ที่เสียงดังบ้าง

Social Media มักจะตะโกนข้อความบางอย่างใส่เราโดยที่ไม่รู้ตัว เธอเอาตัวออกห่างจากมันบ้าง แล้วพบว่า เธอได้ไปและทำในสิ่งที่อยากจริงๆ ไม่ใช่เพราะอยากให้คนอื่นเห็นว่าเธอได้ทำ

พอเราอยู่ในที่ๆไม่ค่อยมีเสียงภายนอก เสียงในใจของเราจะดังขึ้นมาอย่างชัดเจนเอง

เธอกล่าว

คุยกับตัวเองเหมือนเพื่อนอีกคน

ความรักและความเชื่อมั่นในตัวเองจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องเริ่มจากคุยและเข้าใจตัวเองก่อน

หลายคนเห็นคำว่าคุยกับตัวเองแล้วอาจจะยังนึกภาพไม่ออกว่าต้องทำอย่างไร แก้วตาจึงอธิบายวิธีของเธอให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า ลองจินตนาการ เหมือนเราส่งกระจก ให้คุยกับตัวเองเหมือนเราเป็นเพื่อนอีกคนหนึ่ง เพราะเวลาเพื่อนเรารู้สึกไม่ดี เราก็คงเลือกที่จะรับฟังและให้กำลังใจ แล้วถ้าเป็นกับตัวเองล่ะ ทำไมเราถึงไม่ทำแบบนั้นบ้าง ลองจับเข่าคุยกับเพื่อนในกระจกดู รับฟังเพื่อนคนนั้น ลองเปิดโอกาสให้เสียงข้างในหัวใจมันดังออกมามากกว่าเสียงจากภายนอกจนเราได้ยิน อย่าให้เสียงจากภายนอก ที่ดังมากๆ อยู่แล้ว มาทำให้เราสับสน และไม่รู้จักตัวเอง

เพราะสุดท้ายในวันที่เราไม่มีใคร ก็มีเพื่อนคนนี้แหละที่อยู่ข้างเราและรู้จักเราดีที่สุด และท้ายสุด อย่าลืมฟังเสียงด้วยตัวเองล่ะ ว่าอ่านจบแล้วคิดอย่างไร ก่อนที่เสียงของแก้วตาจะดังกว่า แต่ถ้าเป็นเสียงเดียวกันก็ดีเลย

แก้วตากล่าวทิ้งท้าย

สูตรความสำเร็จกับ "ที่สุด" ของประเทศ

คอร์สออนไลน์กับผู้บริหาร ผู้นำทางความคิด แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน