‘พี่แอ๊ม’ แห่ง Uppercutz ผู้ที่พิสูจน์ว่าความสำเร็จไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเรื่องของเพศ

ตัวตน ความชอบ ชีวิต การงาน เส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ชีวิตจริงของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ

วันนี้ Career Fact จะมาเล่าเรื่องจริงเบื้องหลังความสำเร็จของ ‘พี่แอ๊ม’ ผู้ที่พิสูจน์ว่าความสำเร็จไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเรื่องของเพศ

เพศเป็นอุปสรรคจริงไหม? สังคมเปลี่ยนแปลงไปยังไง? คิดอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ? หาคำตอบพร้อมกันได้ที่นี่

ชีวิตไม่มีอะไรที่ง่าย

พี่แอ๊มเล่าว่าชีวิตตัวเองเริ่มต้นมาจากไม่มีอะไรเลย ไม่ได้มีต้นทุนชีวิตหรือเงินทองที่มากมาย พ่อแม่ทำงานราชการ เลี้ยงลูกสามคนอยู่ต่างจังหวัด ชีวิตเรียบง่ายมากๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่พ่อแม่พร่ำบอกเสมอคือ “พ่อแม่ไม่มีสมบัตรอะไรจะมอบให้ สิ่งเดียวที่มอบให้ได้คือความรู้และการศึกษา” ความเชื่อที่ว่าการศึกษาจะเปลี่ยนชีวิตคน ทำให้ลูกได้กำหนดทางเดินชีวิตด้วยตัวเอง ได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบแบบไม่มีกรอบมากำหนด คนนึงเรียนนิเทศ อีกคนเรียน Creative ส่วนพี่แอ๊มเรียน IT

การที่พี่แอ๊มต้องมาเรียนที่ต่างจังหวัดคนเดียวเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีหัวธุรกิจขึ้นมา เพราะที่บ้านไม่ได้ส่งเงินให้ใช้เยอะมากมายอะไร ช่วงมัธยมเคยซื้อขาย Trading Card Game ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำจนที่บ้านคิดว่าเล่นการพนันหาเงิน

เห็นช่องทางทำเงินในทุกโอกาส

เริ่มต้นจากการซื้อขายการ์ดแต่ไม่ได้หยุดแค่นั้น ช่วงกำลังจะขึ้นมหาวิทยาลัยรู้ตัวว่าชอบเรื่องเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เพราะชอบเล่นเกมมาตั้งแต่เด็กทำให้ชำนาญเรื่องโปรแกรม ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยมีส่วนทำให้เก่งทั้งเรื่องการเขียนเว็บไซต์และเรื่องออกแบบ เพราะที่มหาวิทยาลัยที่เข้าเรียนเด่นเรื่องศิลปะด้วย เลยได้รับการสอนที่ควบคู่กันไปทั้งศาสตร์และศิลป์

ช่วงที่เรียนอยู่มีเว็บบอร์ดชื่อ Thai SEO Board ที่จะมีคนเปิดจ้างงานคนทำเว็บไซต์ ด้วยความที่เรียนสาขาออกแบบเว็บไซต์อยู่แล้ว พี่แอ๊มเลยรับงานมาทำร่วมกับงานโปรเจคของมหาวิทยาลัย คือได้ทั้งงานส่งอาจารย์และได้ทั้งเงินจากการรับทำเว็บไซต์เป็นการหารายได้อีกทางหนึ่ง

อีกทางหนึ่งคือเป็น TA (Teaching Assistant ผู้ช่วยสอน) ซึ่งนิสิตหนึ่งคนจะสามารถเป็นได้แค่หนึ่งวิชาเท่านั้น พี่แอ๊มเลยหัวหมอใช้ชื่อเพื่อนเข้าสอนในวิชาอื่นๆ ด้วยรวม 3วิชา โดยการเป็น TA จะได้ค่าจ้างในการช่วยงานด้วย

พอถึงช่วงประมาณปี 3 คนไทยเริ่มเล่น Facebook กันเยอะขึ้น ด้วยความที่พี่แอ๊มมีความสามารถเรื่องการออกแบบด้วยเลยทำเสื้อลายมหาวิทยาลัยขาย เลยเปิดเพจเพื่อขายเสื้อและแบกไปขายต่างวิทยาเขตด้วย ผลปรากฏว่าขายดีมากเลยขายเสื้อเป็นรายได้หลักอยู่ช่วงหนึ่ง เรียนจบมาแล้วก็ยังคงขายอยู่เป็นงานอดิเรก

งานประจำงานแรก

พี่แอ๊มเล่าว่าตัวเองเป็นคนที่มีความเป็นผู้ประกอบการมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ชอบทำงานตามคำสั่งคนอื่น
และเนื่องจากระหว่างเรียนทำงานไปด้วย พอเรียนจบมาเลยมีความพร้อมมากกว่าคนอื่นๆ ช่วงหนึ่งเคยเป็นประธานค่าย YWC (Young Webmaster Camp) ทำให้ได้รู้จักพี่คนนึงที่เห็นศักยภาพในตัวของพี่แอ๊ม เลยโดนชวนไปทำบริษัท Digital Agency ด้วยกัน

แต่ถึงแม้จะเป็น Partner กัน ก็ยังไม่ได้ทำงานตามใจตัวเองมากเท่าที่ต้องการ พอทำงานไปได้ 2 ปี ก็เริ่มอิ่มตัวจึงออกจากบริษัทมาพร้อมกับเพื่อนอีก 2 คน และเปิดบริษัทตัวเองในชื่อ Uppercuz ด้วยเงินทุนที่ไม่มาก ลูกค้าก็คือลูกค้าเก่าจากบริษัทเดิม ได้งานต่อๆ ไปก็ด้วยการแนะนำปากต่อปากของลูกค้าไปเรื่อยๆ

วันแรกในบทบาทเจ้าของบริษัท

ส่วนตัวเห็นภาพอนาคตของตัวเอง รู้ว่าควรเดินต่อไปทางไหน มันทำให้ตอนนี้เดินมาเกินกว่าภาพที่เห็นไปแล้ว

พี่แอ๊มกล่าว

ถ้าถามถึงความพร้อม พี่แอ๊มก็ให้คำตอบว่าพร้อมเสมอ พร้อมมาโดยตลอด ถึงจะไม่ใช่คนที่เรียนจบการตลาดแต่ที่สำคัญเลยคือรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไรเลยเดินมาถึงจุดนี้ได้ พี่แอ๊มเล่าว่าเมื่อก่อนเคยตั้งสเตตัสในเฟซบุ๊คไว้ว่า วันหนึ่งจะต้องมีลูกน้อง วันหนึ่งจะต้องเป็นหัวหน้า ซึ่งมาถึงวันนี้มันก็เป็นอย่างที่ตั้งใจไว้จริงๆ

คนบางคนมีฝันแต่ไม่เห็นภาพ คนบางคนถึงจะเห็นภาพแต่ไม่เดินไปตามทางนั้น ความสำเร็จก็จะมาไม่ถึง

วันที่รู้ในตัวตนของตัวเอง (กลุ่มคนหลากหลายทางเพศ)


พี่แอ๊มตอบว่ารู้ตัวมาโดยตลอด รู้ตัวมาตั้งแต่ประถม มันอยู่ในสายเลือด รู้ชัดมาเรื่อยๆ จากการเติบโตของตัวเอง จากเพื่อน จากคนรอบข้าง และเป็นส่วนหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เริ่มหาเงินใช้เอง เพราะเคยทะเลาะกับครอบครัวในเรื่องนี้ ความรู้สึกว่าครอบครัวไม่เข้าใจเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันให้ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง

อุปสรรคของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ

สมัยก่อน กลุ่มคนหลากหลายทางเพศ ไม่ได้มีทางเลือกมากขนาดนั้น จะได้รับการยอมรับจากสังคมต้องเป็นคนที่เก่งและประสบความสำเร็จเท่านั้น พี่แอ๊มเลยต้องพยายามทำให้ตัวเองเก่งในทุกๆ เรื่อง เพื่อให้คนรอบข้างยอมรับ

คำพูดที่ว่า “กะเทยนี่เก่งเนอะ Creative ดี กล้าแสดงออกกว่าคนอื่น” มันเป็นเพราะสังคมไม่ยอมรับในตัวตนของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ จนทำให้คนกลุ่มนี้ต้องพยายามถีบตัวเองขึ้นมา แต่พี่แอ๊มรู้สึกว่าถึงคนๆ นั้นจะไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด ประสบความสำเร็จที่สุด สังคมก็ควรยอมรับในสิ่งที่เค้าเป็น

อุปสรรคเกิดขึ้นตลอดชีวิตทั้งในวัยเรียนและวัยทำงาน

ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย พี่แอ๊มมีความรู้สึกอย่างจะเเต่งกายด้วยชุดนิสิตหญิงตามเพศวิถีของตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพียงเพราะกฏของมหาวิทยาลัยไม่เอื้ออำนวย

ต่อมาในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ปี 4 ในตอนนั้นเป็นวันที่จะต้องพรีเซนต์ธีสิส ซึ่งการแสดงตัวตนออกมาอย่างเต็มที่ก็เป็นสิ่งที่พี่แอ๊มทำมาตลอด แต่ในวันนั้นมีอาจารย์ท่านหนึ่งแสดงอาการไม่พอใจ พูดเสียงดังว่า “ถ้าคุณจะพูดในห้องผม คุณต้องพูดในเพศที่คุณเป็น เป็นผู้ชาย ห้ามพูดค่ะ ถ้าไม่ให้เกียรติผม ผมจะไม่ให้คะแนนคุณ”

ในช่วงวัยของการทำงาน ครั้งหนึ่งพี่แอ๊มเคยได้ไปพิทช์งาน แต่ก็ได้รับสายตาที่มองไปในด้านลบจากผู้ฟัง ทั้งยังแสดงกริยาที่ไม่พอใจ และตัดสินด้วยเพียงการแสดงออกไม่ใช่ด้วยความสามารถจริงๆ ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้พี่แอ๊มรู้สึกว่าประเทศนี้ไม่มีความยุทติธรรมสำหรับกลุ่มคนหลากหลายทางเพศอย่างแท้จริง

แต่ในอุปสรรคก็ยังมีมุมที่ดีตรงที่เป็นแรงผลักดันในชีวิตที่อยากจะประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่น ได้ดึงดูดคนแบบเดียวกันมาทำงานด้วยกัน

ถึงคนที่ไม่ชอบจะมองแย่แค่ไหน แต่คนที่ชอบเราก็จะรักเรามากๆ เช่นกัน

พี่แอ๊มกล่าว

จนถึงทุกวันนี้สังคมก็ยังไม่ได้ยอมรับกลุ่มคนหลากหลายทางเพศจริงๆ แต่อย่างน้อยสังคมก็ยังพยายามทำความเข้าใจในเพศที่แตกต่างมากขึ้น สื่อก็สอนให้คนรู้จักการแสดงออกทางเพศมากขึ้น ทำให้ภาพลักษณ์ดีขึ้น แต่คนกลุ่มนี้ก็ยังคงไม่ได้รับการยอมรับในหลายๆ อาชีพอยู่ดี

เส้นทางสู่ความสำเร็จ

ความยากมีตลอดเวลา ช่วงที่พึ่งตั้งบริษัทมีฐานลูกค้าเดิมก็จริงแต่ลูกค้าใหม่ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น เพราะด้วยวัยวุฒิและประสบการณ์ที่น้อย จะได้งานใหญ่ก็เป็นเรื่องยาก พี่แอ๊มต้องสู้ด้วยผลงานมาโดยตลอด ตอนพิทช์งาน ก็ต้องทำมาเป็นสิบเท่าของบริษัทอื่นเพื่อให้ลูกค้าเห็นถึงความตั้งใจ เพราะพี่แอ๊มเชื่อในคติว่า “ทำมากกว่าเพื่อให้ได้มากกว่า” แถมช่วงตั้งไข่ก็หาออฟฟิศยากเพราะเงินทุนมีไม่มาก ต้องขอเอาที่ดินของแม่ไปเข้าธนาคารเพื่อให้ได้เงินก้อนหนึ่งมา

ปัญหาพร้อมเข้ามาตลอดเวลา แต่สิ่งที่ต้องมีคือสติและความทุ่มเทในการแก้ไขแล้วทุกอย่างจะผ่านไปได้

งานที่ดีเกิดจากอารมณ์ที่ดี

พี่แอ๊มบอกว่าตัวเขาเองไม่เคยอยากรวย แค่อยากมีความสุข พี่แอ๊มจึงพยายามทำทุกวันให้มีความสุขโดยการหาอะไรใหม่ๆ ทำตลอดเวลา เมื่อมีความสุขแล้วงานก็จะออกมาดี

การที่กล้าลงมือทำกับทุกอย่างเป็นเพราะคำพูดของคุณเเม่ที่ว่า “เราไม่ได้รวยมาก่อน ถ้าลงทุนแล้วเจ๊งก็กลับมาเป็นแบบเดิม กินข้าวเหมือนเดิม อยู่เหมือนเดิม ไม่เห็นเป็นอะไร” ทำให้พี่แอ๊มกล้าที่จะลงทุน จนกลายเป็น Uppercuz ในทุกวันนี้

ความสำเร็จในวันนี้

การที่สามารถพากลุ่มคนแบบเดียวกัน กลุ่มคนที่สังคมมองว่าเป็นกลุ่มที่ไม่เหมือนคนอื่นให้มาถึงจุดนี้ได้ เป็นอะไรที่เติมเต็มเรามาก การพาพนักงานที่อยู่ในกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ อายุไม่ถึง 30 ปี ให้ได้รับงานใหญ่คือความถูมิใจของเรา

พี่แอ๊มกล่าว

เนื่องจากเคยฝึกงานในบริษัทที่อบอุ่นเลยนำความอบอุ่นนั้นมาส่งต่อให้พนักงานของตัวเอง สร้างสภาพแวดล้อมที่มีความสุข ให้คนทำงานมีความสุข เพื่อให้งานออกมาดี การที่เป็นที่เข้าใจความรู้สึกคนอื่น เข้าใจความต้องการของคนอื่น ทำให้ได้พนักงานที่คล้ายๆ กัน สร้างสังคมของการทำงานที่สนิทและสนุกเท่าที่มันจะเป็นไปได้

ความพิเศษของบริษัท

เนื่องด้วยความอบอุ่น ความสนุกสนาน และความสนิทสนมที่เกิดขึ้นในที่ทำงาน ทำให้บริษัทมีกิจกรรมอยู่ตลอด เริ่มจากวันศุกร์ทำอาหารกินในออฟฟิศร่วมกันเหมือนไปเข้าค่ายลูกเสือ ได้คุยกัน รู้จักกันมากขึ้น แล้วต่อด้วยการร้องคาราโอเกะ ทุกคนที่บริษัทเป็นคนอารมณ์ดีอยู่แล้วเลยสนุกกันได้เต็มที่

นอกจากนี้ยังมีสวัสดิการพิเศษๆ ให้กับพนักงาน ทั้งพาไปเที่ยวต่างประเทศ ให้วันหยุดสิ้นปี แจก Pocket Money ช่วงสงกรานต์ ให้อะไรที่ตัวพี่แอ๊มรู้สึกว่าได้เติมเต็มในส่วนที่ขาดไป ที่สำคัญคือสวัสดิการ ”กินทีม” ออกเงินให้คนในทีมไปกินข้าวด้วยกันทุกเดือน ด้วยคติที่ว่า “ไม่ต้องรักบริษัท ไม่ต้องรักหัวหน้า แค่รักกันในทีมก็พอ” เพราะหน่วยที่เล็กที่สุดจะเป็นจุดที่สำคัญที่สุดของตัวพนักงานและบริษัท

เรียนรู้การดูแลพนักงานทุกคน

พี่แอ๊มบอกว่าต้องพยายามเข้าใจคน เข้าใจแล้วต้องใส่ใจ ให้อะไรที่ทำให้เค้าคิดถึงบริษัท มีสวัสดิการดีๆ ดูแลดีๆ เพื่อให้บริษัทไม่โดนบ่นในวงสนทนาของพนักงาน “บริษัทต้องดูดีที่สุดในวงเหล้า” ให้พนักงานภูมิใจในตัวเองและในตัวบริษัทจนสามารถอวดบริษัทกับเพื่อนๆ ได้

การดูแลพนักงานก็เหมือนการทำภาพยนต์ คือต้องค่อยๆ ทำความรู้จักตัวละครจนไปถึงจุดพีคและต้องใส่ใจตั้งแต่ต้นจนจบ อีกอย่างคือจะรู้และเข้าใจคนในทีมได้ต้องรู้จักถาม ถามในทุกๆเรื่อง เพราะคำตอบจะทำให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้นเสมอ

ความภูมิใจของครอบครัว

ครอบครัวไม่ได้ภูมิใจกับความสำเร็จของเรา เงินทองของเรา เท่ากับความสบายใจที่ได้เห็นว่าลูกดูแลตัวเองได้ดี และพี่น้องดูแลกันและกันได้ดี นี่คือความภูมิใจที่สุดของคนเป็นพ่อเป็นแม่

ก้าวต่อไปในอนาคต

พี่แอ๊มเล่าว่าตัวเขาเองรู้สึกว่าเป็นฝ่ายที่ได้รับมาโดยตลอดเลยอยาจะเป็นฝ่ายที่ให้อะไรคืนสู่สังคมบ้าง อยากเป็นกระบอกเสียงในเรื่องเพศ อยากสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีในสังคมไทย

มีฝัน เห็นภาพ แล้วเดินตามทางนั้นไป ความสำเร็จก็อยู่ใกล้เราแค่เอื้อม

สูตรความสำเร็จกับ "ที่สุด" ของประเทศ

คอร์สออนไลน์กับผู้บริหาร ผู้นำทางความคิด แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

Verified by MonsterInsights