เวลานี้ คงไม่มีใครไม่รู้จักแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ของวงการสตรีมมิ่งอย่าง Netflix
แต่กว่า Netflix จะประสบความสำเร็จขนาดนี้แน่นอนว่ามันจะต้องถูกคิด และพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา
วันนี้ Career Fact จะมาไขคำตอบเบื้องหลังความสำเร็จของ #Netflix ที่เปลี่ยนแปลงตัวเองจากร้านเช่า DVD แบบส่งไปรษณีย์สู่บริษัทสตรีมมิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยการให้ความสำคัญกับปัญหาของผู้ใช้งาน
ในทศวรรษที่ผ่านมาคงไม่มีตัวอย่างธุรกิจไหนที่ “คำนึงถึงความชอบและความต้องการของลูกค้า” ได้ดีไปกว่า Netflix อีกแล้ว
ซึ่งถ้าพูดถึงคู่แข่งคนสำคัญของ Netflix ที่จะมาเปรียบเทียบให้เห็นถึงการปรับตัวที่ชัดเจน ก็คงจะหนีไม่พ้น Blockbuster แฟรนด์ไชส์ร้านเช่ายืมวิดีโอยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกาที่เคยมีสาขากว่า 9,000 แห่งทั่วโลก
ก่อนมาเป็น Netflix
ถ้าย้อนเวลากลับไปในอดีต หากเราต้องการดูหนังใหม่ๆ สักเรื่อง เราคงไม่มีตัวเลือกมากเท่าไรนัก นอกจากการขับรถไปที่ร้านเช่าวิดีโออย่าง Blockbuster ตอนนั้นเอง Netflix ก็ได้คิดบริการจัดส่งหนังใหม่ๆ ให้ลูกค้าถึงหน้าบ้านผ่านไปรษณีย์ ซึ่งนับว่าเป็นนวัตกรรมที่ใหม่มากในช่วงนั้น จนกระทั่งบริษัทเคเบิลต่างๆ เริ่มบริการชมภาพยนต์แบบ on-demand หรือให้ผู้ชมเป็นคนเลือกดูตามความต้องการ
ในขณะที่ Blockbuster ยึดมั่นกับธุรกิจรูปแบบเดิม Netflix ใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบเพื่อปรับตัวให้ตัวเองกลายเป็นบริการสตรีมมิงวิดีโอแบบ on-demand เพื่อแข่งขันกับบริษัทเคเบิล รวมทั้งยังคำนึงถึงความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าเช่นเดิม
พัฒนาอย่างต่อเนื่อง
Netflix ยังไม่ได้หยุดแค่นั้น บริษัทยังคงปรับปรุงรูปแบบธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทีมงานก็ได้รับการสนับสนุนให้มองหาโอกาสใหม่ๆ ที่จะสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าและสร้างรายได้ใหม่ๆ
ในปี 2554 Netflix เริ่มสร้างภาพยนต์และซีรีส์ของตัวเองในชื่อ Netflix Original เนื่องจากบริษัทตระหนักถึงความต้องการของลูกค้าที่ต้องการเสพภาพยนต์และซีรีส์ที่มีเนื้อเรื่องที่ดีขึ้น ความเร้าใจที่มากขึ้น
เราจึงมีโอกาสได้ชมซีรีส์ที่มีความแปลกแหวกแนวอย่าง Stranger Things, Black Mirror และ Orange is the New Black
ในปี 2559 Netflix เปลี่ยนแปลงอีกครั้งด้วยการสร้างอินเตอร์เฟซที่ดึงดูดผู้เข้าชม ด้วยการแสดงตัวอย่างภาพยนต์และซีรีส์แต่ละเรื่อง แทนการแสดงเพียงภาพโปสเตอร์ของภาพยนตร์และซีรีส์เพียงเท่านั้น
และ Netflix ยังใช้ประโยชน์ของ AI เพื่อช่วยวิเคราะห์และคาดเดาว่าเรื่องต่อไปที่เราน่าจะอยากดูคือเรื่องอะไร โดยอาศัยข้อมูลจากประวัติการรับชมของเรา
ซึ่งนี่ไม่เพียงเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ของลูกค้าผู้ใช้บริการ Netflix เพียงเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนแปลงความคาดหวังของลูกค้าต่อบริษัทบันเทิงอื่นๆ ด้วย ว่าจะต้องมีฟีเจอร์แบบที่ Netflix มี
จะเห็นว่า Netflix ใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมต่างๆ มากมายด้วย “Design Thinking” หรือกระบวนการคิดเชิงออกแบบโดยให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาที่ลูกค้าพบเจอ และนำมาพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ
โดยตระหนักอยู่ตลอดว่า วิธีเดียวที่จะรักษาความเชื่อมั่นของลูกค้าได้นั้น คือ ต้องยึดมั่นในประสบการณ์ที่ดีที่ลูกค้าจะได้รับเมื่อมาใช้บริการ
ดังนั้นหากคิดว่าธุรกิจกำลังไปได้สวย แล้วเราจะไม่ต้องปรับตัวอะไร
ให้จำไว้ว่า แฟรนไชส์ร้านเช่าวิดีโอที่เคยเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการอย่าง Blockbuster ก็สามารถปิดตัวลงได้ ส่วนเคเบิลทีวีที่เคยมีอยู่แทบทุกบ้าน ก็กำลังมีผู้ใช้บริการน้อยลงเรื่อยๆ เหลือเพียงเสาอากาศสำหรับสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น
เพราะปัจจุบันคือยุคแห่งแพลตฟอร์มสตรีมมิง
Netflix จึงเป็นบทเรียนที่ดีให้กับเราว่า มีเพียงธุรกิจที่รู้จักปรับตัวเท่านั้นที่จะอยู่รอดในสนาม
อ้างอิง
https://bit.ly/2LRdJuG
https://bit.ly/38QSlil
https://bit.ly/38Q4Bzs
Personal Branding คืออะไร? สื่อสารอย่างไร? ในวันที่ตัวตนสำคัญกว่าตัวแบรนด์

FacebookFacebookXXLINELine‘แบรนด์’ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำธุรกิจ แต่หากเราพูดถึงการสร้างแบรนด์ในปัจจุบัน Personal Branding จะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนให้ความสนใจ และให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เมื่อพูดถึง Personal…