Markus Villig: จากเด็กธรรมดา สู่เศรษฐีพันล้านผู้ก่อตั้งแอปเรียกรถ Bolt

Home » Career Fact » Business » Markus Villig: จากเด็กธรรมดา สู่เศรษฐีพันล้านผู้ก่อตั้งแอปเรียกรถ Bolt

“จากเด็กธรรมดาในเมืองเล็กๆ สู่ CEO พันล้านที่อายุน้อยที่สุดในยุโรป”

นับเป็นเวลานานหลายปี ตั้งแต่ #Uber ประกาศขายกิจการในเอเชียให้กับคู่แข่งอย่าง #Grab ส่งผลให้ผู้บริโภคในไทยเหลือตัวเลือกไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม การรอคอยได้สิ้นสุดลงแล้ว เมื่อ #Bolt แอปเรียกรถน้องใหม่ที่แจ้งเกิดในยุโรป ตัดสินใจบุกตลาดในไทย!

วันนี้ Career Fact ขอนำเสนอเรื่องราวของ ‘มาร์คัส วิลลิค’ CEO ของ Bolt และเศรษฐีพันล้านผู้มีอายุน้อยที่สุดในยุโรป ติดตามเรื่องราวของเขาได้ที่นี่

 

เริ่มต้น

“Bolt” ก่อตั้งขึ้นในปี 2013 เดิมทีใช้ชื่อว่า “Taxify” โดยมี ‘มาร์คัส วิลลิค’ หนุ่มนักศึกษาชาวเอสโตเนียเป็นผู้ก่อตั้ง ในขณะนั้นเขามีอายุเพียง 19 ปี กำลังศึกษาต่ออยู่ที่ University of Tatu ด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม Taxify มีทิศทางที่ดีกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ เขาจึงต้องตัดสินใจพักการเรียนเพื่อออกมาลงมือทำมันอย่างเต็มตัว ซึ่งการตัดสินใจในวันนั้น ทำให้เขาเป็นเศรษฐีพันล้านที่อายุน้อยที่สุดในยุโรปในวันนี้

มาร์คัสเริ่มต้นสนใจธุรกิจด้านเทคโนโลยี หรือ ‘สตาร์ทอัพเทค’ มาตั้งแต่สมัยเด็ก เขาได้แรงบันดาลใจจากแอปให้บริการการสื่อสารไร้สายอย่าง Skype ที่ถูกพัฒนาขึ้นในบ้านเกิด หลังจากเรียนจบมัธยม เขาจึงตัดสินใจขอยืมเงินจากพ่อแม่จำนวน 5,000 ยูโร หรือราว 200,000 บาท เพื่อนำมาสร้างแบบจำลองแอปพลิเคชั่นแรกของเขา 

เขาเริ่มต้นการทำแอปให้บริการเรียกรถแท็กซี่ที่ชื่อว่า “Taxify” และได้รับความนิยมอย่างมาก จนภายหลังเขาตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเป็น “Bolt” เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจขนส่งด้านอื่นๆ โดยในปัจจุบัน Bolt มีพนักงานมากถึง 250 คน มีผู้ใช้บริการแล้วมากกว่า 30 ล้านคน มีพนักงานขับมากกว่า 100,000 ราย และมีมูลค่าในตลาดกว่า 1 พันล้านเหรียญ  

Bolt เปิดให้บริการใน 35 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยเช่นกัน

 

ลูกค้า คนขับ

ในช่วงแรกของการทำธุรกิจ มาร์คัสเป็นพนักงานเพียงคนเดียวของบริษัท เขาไม่เชื่อในการมีพนักงานเยอะกว่าความจำเป็น โดยอะไรที่เขาสามารถทำเองได้ เขาจะลงมือทำด้วยตัวเอง ตอนนั้นเขาจะเดินไปตามท้องถนนเพื่อรับสมัครคนขับรถแท็กซี่ด้วยตัวของเขาเอง มากไปกว่านั้นคือการคุมค่าใช้จ่าย 

มาร์คัสให้ความสำคัญกับทั้งลูกค้าและคนขับ โดยเขาเชื่อว่าลูกค้าควรได้รับความคุ้มค่า ขณะเดียวกันคนขับก้ต้องคุ้มค่าเหนื่อยด้วย และหากเขาสามารถตอบสองโจทย์นี้ได้ ธุรกิจ Bolt ก็จะสามารถสานต่อไปได้อย่างยั่งยืน ในขณะที่คู่แข่งกินส่วนแบ่งจากคนขับสูงถึง 25% Bolt คิดค่าธรรมเนียมแค่ 15% ส่งผลให้คนขับ Bolt มีรายได้โดยเฉลี่ยสูงกว่าที่อื่นมากถึง 10% และอัตราค่าบริการสำหรับลูกค้าก็ถูกลงด้วยเช่นกัน

“การเก็บค่าธรรมเนียมเยอะเกินไปจะทำให้ลูกค้าและพนักงานขับหนีไปใช้บริการที่อื่น” มาร์คัสกล่าว

นอกจากบริการเรียกรถแล้ว ปัจจุบัน Bolt ยังให้บริการการขนส่งรูปแบบอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเป็นบริการส่งของคิดราคาตามระยะทาง หรือการให้บริการสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าในยุโรป สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวอยู่ตลอดเวลาของมาร์คัส ถึงแม้บริษัทเขาจะมีมูลค่าแตะพันล้านดอลลาร์แต่เขากลับไม่เคยหยุดพัฒนา

 

เคล็ดลับ

เคล็ดลับที่มาร์คัสอยากส่งต่อให้กับนักธุรกิจทุกคนคือการโฟกัสกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เขาบอกว่า ผู้ประกอบการทุกคนต่างมีความคิดใหม่ๆ และอยากจะทำมันเสียทุกอย่าง ทว่าสุดท้ายแล้วทุกคนไม่สามารถทำทุกอย่างพร้อมกันได้ การใส่ใจในสักอย่างจะสร้างรากฐานที่แข็งแรงให้กับเรา Bolt ใช้เวลานานกว่า 5 ปี ในการศึกษาระบบขนส่งท้องถิ่น และความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ 

“นี่คือสิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากคู่แข่งเจ้าอื่นๆ” – มาร์คัสกล่าว

 

อ้างอิง

https://cnb.cx/3ihHHTO

https://tcrn.ch/35j47QX

https://bit.ly/2FhXTpC

https://bit.ly/3lZI8Vj

สูตรความสำเร็จกับ "ที่สุด" ของประเทศ

คอร์สออนไลน์กับผู้บริหาร ผู้นำทางความคิด แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน