หลายๆ คนอาจยังไม่เคยรู้จักผู้ก่อตั้งที่มีนามสกุลเหมือนกับชื่อโปรแกรมแอนตี้ไวรัสอันโด่งดังอย่าง ‘McAfee’
จอห์น แมคอาฟี (John McAfee) ถูกพบว่าเสียชีวิตในห้องขังเรือนจำในบาร์เซโลนา ประเทศสเปนเมื่อวานนี้ (23 มิถุนายน) หลังจากศาลสเปนตกลงส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปยังสหรัฐฯ เพื่อเผชิญกับข้อหาเลี่ยงภาษีที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน
วันนี้เราจะพาทุกคนย้อนกลับไปดูเส้นทางของเขาตั้งแต่วันที่จุดประกายอุตสาหกรรมมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ของโลกคอมพิวเตอร์ก่อนจะเลือกปลิดชีพตัวเองในเรือนจำ ทิ้งไว้เพียงตำนานผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งแห่งซิลิคอนวัลเลย์
จุดเริ่มต้นและวัยแรกรุ่น
ย้อนกลับไปปี 1945 จอห์น แมคอาฟี ลืมตาดูโลกที่เมืองกลอสเตอร์เชียร์ ประเทศอังกฤษ ในครอบครัวที่มีแม่เป็นชาวอังกฤษและพ่อเป็นทหารอเมริกันที่ไปประจำการอยู่ที่นั่น ชีวิตในวัยเด็กของเขาผ่านร่องรอยแห่งความปวดร้าวอย่างมาก เพราะพ่อติดสุราขั้นรุนแรงและตบตีแม่ของเขาก่อนที่จะยิงตัวเองเสียชีวิตในขณะที่เขามีอายุเพียง 15 ปี
จอห์นกล่าวว่าเขาเองเริ่มดื่มหนักและเสพยาเช่นกัน แต่ยังคงสามารถกลับสู่เส้นทางชีวิตการเรียนได้ แม้ว่าเขาจะเรียนจบปริญญาตรีสาขาคณิตศาสตร์ที่ Roanoke College ในรัฐเวอร์จิเนียร์ย่านที่เขาเติบโต แต่ใครจะรู้ว่าเขาเคยถูก Northeast Louisiana State College ยุติปริญญาเอกของเขาในวิชาคณิตศาสตร์หลังจากเขาเปิดเผยว่าเคยนอนกับนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่เขาให้คำปรึกษา ก่อนที่จะแต่งงานกันในเวลาต่อมา
จอห์นใช้เวลากว่า 20 ปีเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในแวดวงไอทีกับหลายองค์กรเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ตั้งแต่ตำแหน่งโปรแกรมเมอร์ให้กับ NASA รวมทั้งสถาปนิกระบบปฏิบัติการที่ Xerox และที่ปรึกษาซอฟแวร์ของ Computer Sciences Corporation (CSC) จนกระทั่งช่วงที่เขาทำงานกับ Lockheed Corporation เขาได้รับข้อมูลว่ามีไวรัสคอมพิวเตอร์พีซีตัวแรกถือกำเนิดขึ้นมาในชื่อ ‘Brain’ และเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อต่อสู้กับไวรัสตัวนี้
ก่อตั้งMcAfee
McAfee Associates เป็นบริษัทซอฟแวร์บริษัทแรกที่จอห์นก่อตั้ง ในปี 1987 เขาเริ่มก่อตั้งบริษัทในบ้านหลังเล็กๆ ที่แคลิฟอร์เนียเพื่อจัดการไวรัสคอมพิวเตอร์ Brain ที่มีต้นต่อจากปากีสถาน “ผมไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับไวรัสนี้มาก่อน และไม่มีใครรู้จักเทคโนโลยีที่ใช้ต่อกรไวรัสตัวนี้เลย” เขาเคยกล่าวไว้เมื่อเล่าถึงจุดกำเนิดที่เขาตั้งใจสร้างโปรแกรมป้องกันไวรัสและแจกบนกระดานข่าวคอมพิวเตอร์ให้ผู้ใช้งานติดตั้งโปรแกรมลงในคอมพิวเตอร์ที่ทำงาน จนเป็นที่ต้องการของผู้คนจำนวนมาก ทำให้ในปี 1990 เขามีรายได้ถึง 5 ล้านดอลลาร์ต่อปีโดยได้รับค่าตอบแทนจากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตที่ขายให้ผู้ใช้ จอห์นใช้เวลาไม่นานหลังจากนั้นส่งบริษัทเปิดตัวสู่ตลาดหลักทรัพย์ในปี 1992 ทำให้บริษัทและเขาถือหุ้นมูลค่ากว่า 80 ล้านดอลลาร์ ซึ่งช่วงต้นปี 1992 เขาประกาศทางโทรทัศน์ของสหรัฐฯ ว่าไวรัสคอมพิวเตอร์ชื่อ Michelangelo กำลังจะก่อให้เกิดหายนะกับคอมพิวเตอร์พีซีทั่วโลก ทำให้ซอฟต์แวร์ของเขากลายเป็นผู้นำตลาดในชั่วข้ามคืน แต่ภายหลังกลับพบว่าคำพูดของเขาไม่มีมูลความจริง และท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจลาออกในปี 1994
มหาเศรษฐีต้านไวรัส
หลายปีหลังจากที่จอห์นละทิ้งบทบาทผู้บริหาร McAfee ก็ถูก Intel ยักษ์ใหญ่แห่งธุรกิจคอมพิวเตอร์เทคโอเวอร์ไปด้วยมูลค่ากว่า 7.6 พันล้านดอลลาร์ และแม้ธุรกิจและบริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้นจะไปได้สวยหลังจากที่เขาออกมาแล้ว จอห์นยังคงมีทรัพย์สินติดตัวมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ เขาลงทุนในธุรกิจที่หลากหลายทั้ง PowWow โปรแกรมการส่งข้อความโต้ตอบแบบทันที และซอฟต์แวร์ Firewall
นอกจากนี้สิ่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับจอห์นคือเขาไม่เคยใช้ผลิตภัณฑ์จากบริษัทที่เขาก่อตั้งเลย “ผมโดนไวรัสโจมตีอยู่บ่อยครั้ง แต่ผมไม่ได้ใช้ซอฟต์แวร์ป้องกัน” เขากล่าว “ผมป้องกันด้วยการเปลี่ยนที่อยู่ IP และไม่ใส่ชื่อลงไปในอุปกรณ์ที่ใช้งาน รวมถึงไม่เข้าใช้งานเว็บไซต์ที่อาจติดไวรัส ไม่กดลิงก์ที่แนบมากับอีเมล” เขาบอกว่ามันอาจจะฟังดูเหมือนเป็นวิธีการที่ไร้สาระ แต่เขากล้าทำวิธีที่ต่างออกไปเพราะเขามั่นใจในความคิดของตัวเองมากกว่าเชื่อใจซอฟต์แวร์ของคนอื่น นี่คงเป็นสิ่งที่หลายคนสงสัยและแปลกใจว่าทำไมเจ้าพ่อเทคโนโลยีแบบเขาถึงไม่ใช้ซอฟต์แวร์ให้เป็นประโยชน์อย่างที่เราใช้กันทุกวันนี้ แต่สำหรับจอห์นแล้วความรู้และฝีมือของเขามีมากพอที่สร้างวิธีการหลบหลีกไวรัสต่างๆ ที่ไม่เหมือนใคร
ลูกคนป่าแห่งSiliconValleyกับเส้นทางที่ต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัย
จอห์นได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกเทคโนโลยีรุ่นใหม่และเป็นตำนานในซิลิคอน วัลเลย์ (Silicon Valley) แต่เขาเคยกล่าวว่าเขามักจะโดนสายตาคนอื่นตัดสินตัวเขาในมุมที่แตกต่าง “ผมถูกมองด้วยสายตาหวาดระแวง โดนตราหน้าว่าโรคจิต และเป็นลูกคนป่าแห่งซิลิคอน วัลเลย์”
บุคลิกที่ช่างฝัน โผงผาง กล้าได้กล้าเสีย และหัวร้อนของจอห์นทำให้โดดเด่นในทางที่ไม่ดีนัก และนั่นก็เป็นสิ่งที่สร้างปัญหาให้กับชีวิตของเขามาโดยตลอด ในปี 2012 จอห์นถูกเชื่อมโยงเข้ากับการตายของเพื่อนบ้านในประเทศเบลีซ แต่เขาก็ปฏิเสธทุกความเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรม รัฐบาลเบลีซยังบุกเข้าไปในบ้านของเขาหลายครั้งเพื่อรวบรวมหลักฐานว่าเขามีกองกำลังติดอาวุธและค้ายาเสพติด ก่อนที่ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาจอห์นจะถูกจับข้อหาเข้าประเทศกัวเตมาลาอย่างผิดกฎหมาย ทำให้เขาต้องขอลี้ภัยและถูกส่งตัวกลับไปที่สหรัฐอเมริกาในปี 2015 หลังจากนั้นจอห์นใช้ชีวิตแบบสุขปนเศร้ามาเรื่อยๆ เขาเคยโดนจับในข้อหาเมาแล้วขับ แต่เขาก็เคยลงสมัครตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยวิดีโอหาเสียงที่มีประโยค “นี่ไงคนบ้า” อันน่าขบขัน ทั้งหมดสะท้อนว่าจอห์นมักใช้ชีวิตที่โลดแล่นบนความเสี่ยงและอยู่ท่ามกลางความสนใจของผู้คนอยู่ตลอด
วาระสุดท้ายของชีวิต
จอห์นถูกจับในสเปนเมื่อเดือนตุลาคมปี 2020 ขณะที่เขากำลังจะขึ้นเครื่องบินไปตุรกี และถูกกล่าวหาว่าไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้เป็นเวลา 4 ปีตั้งแต่ 2014-2018 ที่ได้จากงานให้คำปรึกษา การพูด การขายสิทธิ์ รวมถึงรายได้จากสกุลเงินคริปโตเคอเรนซี กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ กล่าวหาว่าเขาหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบทางภาษี รวมถึงปกปิดทรัพย์สินทั้งเรือยอทช์และอสังหาริมทรัพย์ในชื่อบุคคลอื่น
วันพุธที่ผ่านมาศาลแห่งชาติของสเปนอนุญาตให้ส่งตัวเขาข้ามแดนไปยังสหรัฐฯ เพื่อรับข้อกล่าวหา ซึ่งจอห์นเคยกล่าวว่าเขาถูกจับกุมทั้งๆ ที่จ่ายภาษีหลายล้านดอลลาร์ เขาอ้างว่าข้อกล่าวหาในคดีของเขามีแรงจูงใจทางการเมืองเนื่องจากความไม่พอใจที่เขาประณามการทุจริตใน Internal Revenue Service ถ้าหากเขากลับไปยังสหรัฐฯ จะทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในคุกหลายสิบปี
ภายหลังจากคำตัดสินของศาลสเปนผ่านไปหลายชั่วโมง จอห์น แมคอาฟี ในวัย 75 ปี เลือกจบชีวิตลงด้วยตัวเองและถูกพบว่าเสียชีวิตอยู่ที่เรือนจำในเมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ทิ้งไว้เพียงตำนานที่เคยสร้างไว้ในยุคที่ใครหลายคนยังไม่รู้จักเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส
อย่างน้อยที่สุดเราอาจต้องกล่าวขอบคุณความอัจฉริยะของเขาที่บุกเบิกโปรแกรมสแกนไวรัสอันชาญฉลาดให้กับคอมพิวเตอร์ของพวกเราเมื่อหลายปีก่อนจนช่วยกอบกู้ความปลอดภัยของข้อมูลจำนวนมาก บางทีคนอาจจะจดจำชื่อของ ‘จอห์น แมคอาฟี’ ได้มากพอๆ กับโปรแกรมป้องกันไว้รัสอย่าง ‘McAfee’ หลังจากนี้ไปเช่นกัน
อ้างอิง
Personal Branding คืออะไร? สื่อสารอย่างไร? ในวันที่ตัวตนสำคัญกว่าตัวแบรนด์

FacebookFacebookXXLINELine‘แบรนด์’ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำธุรกิจ แต่หากเราพูดถึงการสร้างแบรนด์ในปัจจุบัน Personal Branding จะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนให้ความสนใจ และให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เมื่อพูดถึง Personal…