James Clear: จากนักกีฬาผู้ได้รับบาดเจ็บทางสมองสู่นักเขียนผู้สร้างนิสัยให้คนทั่วโลก

หลายๆ คนคงเคยเห็นเพื่อนที่ทำงานหรือคนใกล้ตัวอ่านหนังสือที่มีชื่อว่า Atomic Habits กันมาบ้าง ที่หนังสือเล่มนี้ฮิตถึงขนาดนี้ ก็เพราะผู้เขียนนั้นเผยวิธีที่จะทำให้นิสัยของเราดีขึ้นจากประสบการณ์โดยตรงของเขาซึ่งมันได้ผลจริงๆ วันนี้เราจะไปทำความรู้จักกับผู้เขียนหนังสือผู้นี้กัน

หลงรักในกีฬาตั้งแต่เด็ก

เจมส์ เคลียร์ (James Clear) เกิดที่รัฐโอไฮโอ ในประเทศสหรัฐอเมริกา เขาเติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น มีคุณพ่อคุณแม่ที่พูดคุยกันอย่างสนิทสนมและได้พบกับญาติพี่น้องเป็นประจำจากการไปรับประทานให้เย็นที่บ้านคุณยายทุกวันอาทิตย์

คุณพ่อของเจมส์เป็นนักเบสบอลอาชีพให้กับทีม St. Louis Cardinals ในลีกรอง และนั่นจึงเป็นเหตุให้เจมส์อยากเดินตามรอยเท้าคุณพ่อ เขาได้โอกาสเล่นกีฬาหลายประเภทเพื่อค้นหาตัวเอง ทั้งว่ายน้ำ บาสเก็ตบอล เบสบอล และอเมริกันฟุตบอล 

เจมส์เล่นอเมริกันฟุตบอลอยู่ราวๆ หนึ่งปี แต่เขาเป็นคนที่ค่อนข้างบอบบาง ทำให้สู้เรื่องพละกำลังคนอื่นไม่ไหว เขาจึงหันมาเล่นบาสเก็ตบอล และเบสบอลแทน  

อุบัติเหตุพลิกชีวิต

จนกระทั่งวันหนึ่งซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการเรียนในชั้นเกรด 10 ก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นเมื่อเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งเหวี่ยงไม้เบสบอลสุดแรง แต่มันกลับหลุดมือลอยไปกระแทกหน้าของเจมส์อย่างจังทำให้เขาล้มลงไปกองกับพื้นทันที 

แรงกระแทกจากไม้เบสบอลนั้นทำให้จมูกของเขาหัก เบ้าตาของเขาแตก มากไปกว่านั้น ยังทำให้เนื้อเยื่อสมองทะลุกลับเข้าไปในกะโหลกอีก นั่นจึงทำให้เขาทวีความเจ็บปวดไปทั่วศรีษะอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้น คุณครูและเพื่อนของเขาก็ค่อยๆ พาเขาเดินไปห้องพยาบาล แต่หารู้ไม่ว่าทุกวินาทีนั้นชี้เป็นชี้ตายขนาดไหน

พอถึงห้องพยาบาล คุณหมอก็ถามคำถามเพื่อตรวจสอบว่าส่งผลอะไรต่อความทรงจำหรือไม่ อย่างเช่น ถามว่าปีนี้เป็นปีอะไร เจมส์กลับตอบว่าเป็นปี 1998 ทั้งที่จริงแล้วปีนั้นคือปี 2002 แต่ยังไม่ทันได้รู้อะไรมาก ร่างกายของเขาก็ทนอาการปวดที่ศรีษะไม่ไหวทำให้เจมส์หมดสติ ก่อนที่รถพยาบาลจะมารับตัวเขาไป

หลังจากมาถึงโรงพยาบาลใกล้ๆ เจมส์ก็รู้สึกทรมานมากเวลาเขาหายใจและกลืนน้ำลาย จนเขามีอาการชักและไม่สามารถหายใจด้วยตัวเองได้ นั่นจึงทำให้แพทย์ตัดสินใจส่งเขาไปรักษาที่ซินซินาติด้วยเฮลิคอปเตอร์ พอถึงที่หมายเจมส์ก็เกิดอาการชักอีกเป็นครั้งที่ 3 กระโหลกศรีษะของเขาต้องได้รับการซ่อมแซม แต่เขาไม่อยู่ในสภาวะที่ต้องผ่าตัด เจมส์จึงตกอยู่ในอาการโคม่าและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา

โชคยังดีที่เช้าวันต่อมา อาการของเขาคงตัวขึ้นและหายจากอาการโคม่า เมื่อเขารวมรวมสติกลับมา เขาก็พบว่าจมูกของเขาไม่ได้กลิ่น นอกจากนั้นเบ้าตาของเขาก็ยังมีปัญหาอีก นั่นทำให้เขาต้องเข้ารับการผ่าตัด และต้องใช้เวลา 8-9 เดือนในการบำบัดร่างกายอย่างการเดินให้ตรงเส้น ซึ่งทำให้เจมส์รู้สึกซึมเศร้าอยู่ไม่น้อย

กลับสู่ชีวิตอีกครั้ง

หนึ่งปีต่อมา เจมส์ที่หายกลับมาเป็นปกติก็ตัดสินใจกลับเข้าสู่สนามอีกครั้ง นั่นเพราะเบสบอลแทบจะเป็นทุกสิ่งสำหรับเขา แต่การรีเทิร์นของเจมส์นั้นไม่ง่ายเลย เขาถูกตัดออกจากทีมเบสบอลโรงเรียนและแน่นอนว่าเจมส์เสียใจมาก เพราะเขาทุ่มเทให้กีฬานี้มาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ อย่างไรก็ตามหนึ่งปีถัดมาเขาก็สามารถกลับมาสู่ทีมได้สำเร็จถึงเขาจะได้ลงเล่นเพียงไม่กี่ครั้งก็ตาม

เส้นทางนักเบสบอลของเจมส์อาจจะดูไปไม่รุ่งทั้งเรื่องที่เคยบาดเจ็บและไม่ถูกส่งลงสนาม แต่เขายังไม่ยอมแพ้และยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นนักเบสบอลที่ดีให้ได้ เจมส์ตั้งเป้าจะเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ในช่วงมหาวิทยาลัย เขาเลือกเรียนชีวกลศาสตร์ที่ Denison University และเป็นที่นี่เองที่ทำให้เขาค้นพบพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงนิสัยเป็นครั้งแรก

นับเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่เป็นไปได้ด้วยดีเพราะเจมส์ผ่านการคัดเลือกเข้าทีมเบสบอลมหาลัยได้สำเร็จ เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะได้รับโอกาสหลังจากที่ไม่ได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอมานาน นั่นจึงเป็นเหตุให้เจมส์พยายามปรับเปลี่ยนนิสัยและกิจวัตรประจำวันของตัวเองให้ดีขึ้น 

ปรับเปลี่ยนนิสัยวันละนิดชีวิตก้าวหน้า

ในขณะที่เพื่อนๆ นอนดึกและเอาแต่เล่นวีดีโอเกมส์ เจมส์กลับเข้านอนเร็วเพื่อพักผ่อนให้เพียงพอและเขายังจัดห้องให้เรียบร้อยน่าอยู่อีกด้วย อย่างไรก็ตามการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแค่ทำให้การดำเนินชีวิตของเขาดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้เขาสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้นหลังจากอุบัติเหตุครั้งก่อนที่ทำให้ความสามารถในการควบคุมตัวเองแย่ลง

นอกจากกิจวัตรประจำวันแล้ว การปรับเปลี่ยนนิสัยยังส่งผลให้เจมส์มีผลการเรียนที่ยอดเยี่ยม เขาได้เกรด A ทุกวิชาในปีการศึกษาแรก โดยแต่ละวันเจมส์จะเปลี่ยนนิสัยตัวเองอย่างละนิดอย่างละหน่อย จนเมื่อย้อนกลับมาดูตัวเองอีกที เขาจะรู้สึกว่าตัวเองพัฒนาขึ้นอย่างมาก

ความสามารถในกีฬาเบสบอลของเจมส์ก้าวกระโดดอย่างมาก เขาได้รับเลือกให้ลงเล่นตัวจริงในตำแหน่งพิชเชอร์ พอขึ้นปี 3 เจมส์ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมและมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมของทัวร์นาเม้นต์ กลายเป็นว่าผ่านมา 6 ปีหลังจากเกิดอุบัติเหตุ เจมส์กลายเป็นนักเบสบอลระดับท็อปของมหาลัยไปจนถึงมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมของนักเบสบอลจากมหาลัยทั่วประเทศ

ผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนานิสัย

แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้เขาพลิกชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือจนประสบความสำเร็จขนาดนี้ก็คือการปรับเปลี่ยนนิสัยของตัวเองวันละนิดนั่นเอง หลังจากจบการศึกษาเจมส์ล้มเลิกความคิดที่จะเป็นนักเบสบอลอาชีพแล้วหันมาทำธุรกิจส่วนตัวและสร้างงานเขียนเพื่อช่วยคนอ่านให้มีชีวิตที่ดีขึ้นแทน

เจมส์เริ่มเขียนบทความเกี่ยวกับการทดลองปรับเปลี่ยนนิสัยของตัวเองลงในเว็บไซต์ที่มีชื่อของเขาเป็นโดเมนเว็บในปี 2012 ผ่านไปราวๆ 2-3 เดือน เว็บไซต์ของเขาก็มีผู้ติดตามทางอีเมลล์เพิ่มมาหนึ่งพันคน หลังจากนั้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 1 แสนคนในปี 2014 ส่งผลให้ jamesclear.com เป็นหนึ่งในเว็บไซต์จดหมายข่าวที่เติบโตเร็วที่สุด และยังทำให้เขาเป็นที่รู้จักในเรื่องความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับนิสัยอีกด้วย
จนกระทั่งปี 2015 ที่เจมส์มียอดผูติดตามทางอีเมลถึง 2 แสนคน เขาจัดการเซ็นสัญญากับสำนักพิมพ์ Penguin Random House เพื่อเริ่มเขียนหนังสือที่มีชื่อว่า Atomic Habits นอกจากนั้น เขายังถูกเชิญให้ไปพูดเกี่ยวกับการพัฒนานิสัยในบริษัทชั้นนำหลายแห่งอีกด้วย

บทความของเจมส์แพร่หลายไปทั่ว ทั้งในนิตยสารชื่อดังอย่าง Time, Enterpreneur หรือ Forbes และคาดว่ามีผูอ่านบทความขเองเขามากกว่า 8 ล้านคน เท่านั้นยังไม่พอ เหล่าบรรดาโค้ชในลีกกีฬาชื่อดังอย่าง NBA หรือ NFL ก็แบ่งปันความรู้จากบทความของเจมส์ให้แก่ลูกทีมเช่นกัน

ในปี 2017 เจมส์ตัดสินใจก่อตั้ง Habits Academy แพลตฟอร์มสำหรับองค์กรหรือบุคลากรที่อยากสร้างนิสัยที่ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นในการใช้ชีวิตหรือการทำงานซึ่งเสียงตอบรับก็ถือว่ายอดเยี่ยม เพราะบริษัทชั้นนำและสตาร์ทอัพที่กำลังเติบโตหลายแห่งต่างแห่ลงสมัครคอร์สพัฒนานิสัยให้แก่บุคลากรระดับหัวหน้า โดยรวมแล้วมีมากกว่า 1 หมื่นคนจากหลากหลายอาชีพที่จบการศึกษาจาก Habits Academy

ในที่สุด เจมส์ก็เขียนหนังสือ Atomic Habits เสร็จในปี 2018 และเรียกได้ว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะ หนังสือของเขาขายได้มากกว่า 8 แสนเล่มใน 9 เดือนแรกที่วางจำหน่าย เท่านั้นยังไม่พอ Atomic Habits ยังมีชื่อติดในลิสต์ New York Times Bestseller ถึง 9 เดือนและลิสต์ของ Wallstreet Journal อีก 33 สัปดาห์อีกด้วย

เพียงแค่เราเปลี่ยนนิสัยเพียงจุดเล็กๆ แต่เปลี่ยนให้ดีเรื่อยๆ ในทุกวัน พอเวลาผ่านไป นิสัยที่ค่อยๆ ดีขึ้นก็จะสามารถพัฒนาชีวิตของเราขึ้นอย่างก้าวกระโดด ถ้าเรายังมัวแต่คงนิสัยเดิมไว้ ชีวิตเราก็จะยังมีแต่ผลลัพธ์เดิมๆ แต่หากเราปรับนิสัยเราให้ดีขึ้น ทุกอย่างก็สามารถพัฒนาไปในทางที่ดีได้เสมอ

James Clear

อ้างอิง

https://bit.ly/3CdRV16

https://bit.ly/3hAnTwH

สูตรความสำเร็จกับ "ที่สุด" ของประเทศ

คอร์สออนไลน์กับผู้บริหาร ผู้นำทางความคิด แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

Verified by MonsterInsights