ตั้งแต่เกิดมา คุณหา Passion ของตัวเองเจอแล้วหรือยัง? หากยังไม่เจอ ก็อย่าเพิ่งเสียกำลังใจ
เพราวันนี้ Career Fact จะมาพูดคุยกับ‘พี่เฟิร์น’ ดร. ชนนิกานต์ จิรา ผู้อำนวยการของ True Digital Academy ผู้เชื่อว่าการค้นหาและ “Reinvent” ตัวเองสามารถทำได้ตลอดชีวิต
ในชีวิตเธอเดินอ้อมมากี่ครั้ง? รู้สึกอย่างไรกับการเริ่มทำงานช้ากว่าคนอื่น? อะไรคือบทเรียนที่เธอค้นพบระหว่างทาง? ติดตามเรื่องราวของเธอได้ที่นี่
ความฝันในวัยเด็ก
ถึงแม้ว่า ชีวิตการเรียนและการทำงานของพี่เฟิร์นจะอยู่กับเรื่องฝั่ง “วิทย์” เป็นส่วนใหญ่ ความสนใจในวัยเด็กของเธอล้วนแต่ออกไปทางผั่ง “ศิลป์”
ตอนเล็กมากๆ เธอชอบวาดรูป อยากเป็นจิตรกร โตขึ้นมาหน่อย เธอหลงใหลการอ่าน ใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียน อีกกิจกรรมที่ทุ่มเทอย่างจริงจังคือการเล่นเปียโน โดยใช้เวลานอกเหนือจากการเรียนและช่วงปิดเทอมซ้อมเปียโนเพื่อเตรียมสำหรับการแสดงคอนเสิร์ตและการแข่งขัน และยังเคยพิจารณาอย่างจริงจังในสายอาชีพด้านดนตรี
แต่ด้วยความคิดที่ว่าเรียนวิทย์เปิดทางเลือกไว้มากกว่า ก็ทำให้เธอตัดสินใจเรียนสายวิทย์ และไปจบที่การเลือกเรียนวิศวะ ส่วนความใฝ่ผันในวัยเด็ก ทั้งวาดรูป อ่านหนังสือ เล่นดนตรี ได้กลายมาเป็นงานอดิเรกที่ยังรักและสร้างความสุขให้จนถึงปัจจุบัน
จุดเปลี่ยนชีวิต
หากมองย้อนกลับไป พี่เฟิร์นคิดว่า จุดเปลี่ยนผันที่สำคัญที่สุดในชีวิต คือการได้รับทุนเล่าเรียนหลวง หรือทุนคิงตอนมัธยมปลาย ซึ่งทำให้ได้มีโอกาสไปศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัย Stanford ที่สหรัฐอเมริกา
ถึงแม้พี่เฟิร์นจะเป็นคนที่เรียนเก่งและทุ่มเทให้กับการเรียนมาตลอด แต่ในการสอบชิงทุนนั้น เพื่อนๆที่เข้ามาสอบแต่ละคนก็เก่งและทุ่มเทไม่แพ้กัน ดังนั้น พี่เฟิร์นมองว่า การได้รับเลือกเป็น 1 ใน 9 นักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงในปีนั้น เป็นโอกาสที่สำคัญและความโชคดีที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต
พี่เฟิร์นยังรู้สึกด้วยว่า ทุนที่ได้รับ เป็นการแบกรับความหวัง ความทุ่มเท และโอกาสของผู้สมัครและคนไทยคนอื่นๆ ไว้ ดังนั้น ถึงทางทุนจะให้อิสระในการเลือกสายการทำงาน ไม่จำเป็นต้องใช้ทุนในหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ก็คิดเสมอว่า ชีวิตที่ใช้ไป จะพยายามทำให้เป็นชีวิตที่มีประโยชน์และสร้างความเปลี่ยนแปลง ให้สมกับโอกาสที่ได้รับ และต้องหาทางถ่ายทอดโอกาสที่ดีนี้แก่คนอื่นต่อไปด้วย
การศึกษาและการค้นหาตนเอง
ประสบการณ์การเป็นนักเรียนทุน ทำให้พี่เฟิร์นให้คุณค่าและสนใจด้านการศึกษา การได้ใช้ชีวิตนักเรียน 10 ปีที่อเมริกา ทำให้ได้เปิดโลกระบบการศึกษาที่ต่างจากในไทย อย่างเช่น รูปแบบข้อสอบที่มักเป็นข้อเขียนเชิงวิเคราะห์ ต่างจากข้อกาในไทย ทำให้มองเห็นว่าระบบการศึกษาที่แตกต่างกัน ก็จะหล่อหลอมคนออกมาแตกต่างกัน
เธอเชื่อด้วยว่า การศึกษายังมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งกับการค้นหาตัวเอง
ในระดับปริญญาตรี พี่เฟิร์นเลือกเรียนสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า ที่ Stanford University โดยในตอนต้น มุ่งหวังว่า อยากเรียนจบปริญญาเอกสายนี้ กลับมาเป็นอาจารย์ แต่เมื่อเรียนผ่านไปเรื่อยๆ ถึงจะเรียนได้ แต่ก็เริ่มรู้สึกว่า อาจจะไม่ใช่ทางที่เหมาะกับตนเองในการต่อปริญญาเอก จึงเบนสายไปเรียนเอกด้าน Technology & Operations Management จาก Harvard Business School ซึ่งผนวกความชอบด้านคณิตศาสตร์และสถิติเข้ากับบริบทของคนและการบริหาร
เมื่อใกล้จบและถึงเวลาสมัครงาน ซึ่งตามแผนคือการสมัครตำแหน่งอาจารย์ในมหาวิทยาลัย เป็นอีกครั้งที่เธอตัดสินใจเบนเข็มออกจากวิชาการเพราะรู้สึกว่าการทำวิจัยอาจจะไม่ใช่งานที่เหมาะกับตัวเอง เนื่องจากชอบทำงานที่มีเดดไลน์และเห็นผลชัดเจนรวดเร็วมากกว่าการสร้างงานในเชิงลึกทางวิชาการ
จากทฤษฎีสู่การลงมือทำและการเรียนรู้ตลอดชีวิต
หลังจบปริญญาเอก พี่เฟิร์นเริ่มทำงานเป็น Management Consultant ที่ McKinsey & Company ประเทศไทย เพราะมองว่าที่ผ่านมาเธอเรียนภาคทฤษฎี เธอจึงอยากเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจในภาคปฏิบัติ
สำหรับพี่เฟิร์น McKinsey เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้นอกโรงเรียน หรือ “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” (Lifelong Learning) เพราะงานที่ปรึกษาทางธุรกิจทำให้พี่เฟิร์นมีโอกาสได้เจอลูกค้าหลายวงการทำให้ต้องเติบโตทางวุฒิภาวะอย่างรวดเร็ว ทั้งยังช่วยหล่อหลอมวิธีการทำงานของเธอให้เกิดความสมดุลระหว่างความละเอียดและความเร็วของการทำงานในแวดวงธุรกิจ
สิ่งที่เธอค้นพบระหว่างทำงานที่นี่ อย่างแรกคือ การตอกย้ำความชอบเรื่องการศึกษาและการเรียนรู้ เธอสนใจเรื่องการศึกษามาตลอด การได้ทำโปรเจกต์ด้านการศึกษาเพื่อช่วยทั้งภาครัฐและเอกชนในภูมิภาค จึงทำให้เธอรู้สึกถึงอิมแพคเชิงระบบที่ยิ่งใหญ่หากทำได้ดี
อีกด้านหนึ่งที่เธอสนใจคือ Digital Transformation และจากการที่ได้มีโอกาสลงมือช่วยองค์กรอื่นๆ ทำ Digital Business Building ก็ทำให้เธอได้เรียนรู้ว่า มิติที่ยากที่สุดของการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง คือ “คน”
True Digital Academy
ด้วยความสนใจที่คาบเกี่ยวกันระหว่างเรื่องการศึกษา การพัฒนาคน และ Digital Transformation การได้มารับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการของ True Digital Academy จึงถือเป็นโอกาสที่น่าตื่นเต้นที่พี่เฟิร์นตอบรับอย่างไม่ลังเล
วิสัยทัศน์ของ True Digital Academy คือการเสริมสร้างศักยภาพด้านดิจิทัลให้บุคลากรและองค์กรไทย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับโลกอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัล พี่เฟิร์นหวังว่า True Digital Academy จะเติบโตขึ้นไปเป็นส่วนสำคัญหนึ่งของระบบนิเวศน์ของตลาดแรงงานไทย เพื่อตอบโจทย์การสร้างกำลังคนด้านดิจิทัลเพื่อสอดรับความต้องการของภาคธุรกิจ
Passion หรือ Purpose
ในช่วงชีวิตการเรียนของพี่เฟิร์น เป็นยุคที่คำว่า Passion คือคำติดปากและกลายเป็นสิ่งจำเป็นในการทำงานอย่างมีความสุข เธอเองก็เคยมีช่วงเวลาที่รู้สึกลำบากใจที่รู้สึกเหมือนว่าหา Passion ไม่เจอสักที และรู้สึกเหมือนกับว่าชีวิตต้องเดินอ้อมหลายครั้ง ในการพยายามหาสิ่งที่สร้างความสุขให้กับตัวเอง
แต่หลังจากเวลาผ่านไป พี่เฟิร์นก็ได้เรียนรู้ว่า สูตรของการมีชีวิตที่มีความสุขนั้นไม่ใช่สูตรสำเร็จ หากแต่ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลที่จะหานิยามที่เหมาะกับตัวเอง สำหรับเธอเองชีวิตอาจไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วย ‘Passion’ เป็นหลัก ไม่ใช่ว่ารู้ตั้งแต่วันแรกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ชอบหรือหลงใหลมากๆ จนเมื่อได้ทำแล้วจะมีความสุข แต่เป็นการขับเคลื่อนด้วย ‘Purpose’ หรือเป้าหมายว่าความหมายของชีวิตคืออะไร ต้องทำอะไรถึงจะรู้สึกได้รับการเติมเต็ม ซึ่งสำหรับเธอ เป้าหมายก็คือ การสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญให้สังคม เธออยากมีส่วนพัฒนาคน อยากถ่ายทอดโอกาสที่ดีให้คนอื่น แล้วก็พยายามหางานที่ตอบโจทย์ตรงนั้น
ดังนั้น ความสุขและความพอใจในชีวิต ไม่ได้หมายความว่าต้องได้ทำสิ่งที่เราชอบมากๆทุกๆวัน แต่เป็นความรู้สึกว่า ได้ทำอย่างเต็มที่แล้วในการเดินเข้าใกล้ Purpose ของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
การเดินทางอ้อมและการค้นหาตนเอง
อีกสิ่งที่พี่เฟิร์นได้ค้นพบ คือ การค้นหาตนเองเป็นสิ่งที่ต้องค่อยๆทำไปตลอดชีวิต ‘ตัวตน’ ของเราไม่ได้เป็นภาพนิ่ง แต่มีการเปลี่ยนแปลงและเติบโดไปกับประสบการณ์ในชีวิต เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญคือ การให้โอกาสตัวเอง และการไม่กลัวที่จะ Reinvent ตัวเองใหม่อยู่ตลอด อย่ากลัวการเดินอ้อม อย่าไปเปรียบเทียบกับคนอื่นว่าทำไมเส้นทางของเขาถึงตรงกว่าและไปถึงเป้าหมายได้เร็วกว่า
ตอนพี่เฟิร์นเบนเข็มมาเข้า Consulting ซึ่งเป็นงานประจำงานแรกนั้นเธออยู่ในวัยใกล้เลข 3 เนื่องจากเรียนจบปริญญาตรีแล้วเรียนต่อปริญญาเอกเลยอีก 5 ปี แต่ถึงจะอายุมากกว่าเธอก็ยังต้องเรียนรู้จากน้องๆ จบใหม่วัย 21-22 ปี เพราะพวกเขามีประสบการณ์ด้านธุรกิจมากกว่าเธอ
จากตรงนี้ หลายคนอาจมองว่าการไปเรียนปริญญาเอกนั้นเสียเวลาเปล่า เพราะสุดท้ายก็กลับมาเริ่มต้นเท่ากับน้องๆ จบใหม่อยู่ดี แต่อันที่จริงประสบการณ์ที่ได้รับจากการเรียนปริญญาเอกนั้นช่วยสร้างความแตกต่างให้กับเธอในบทบาทของที่ปรึกษา เกิดเป็นความได้เปรียบและโอกาสใหม่ๆ ขึ้นมา ซึ่งได้ถูกนำไปต่อยอดเป็นทางเดินในทุกวันนี้
True Digital Academy จะช่วยให้คนค้นหาตัวเองเจอไหม
Partner หลักของ True Digtal Academy คือ General Assembly จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเจ้าของหลักสูตรระดับโลกด้านการ Upskill และ Reskill เกี่ยวกับทักษะด้านดิจิทัล เช่น Data, Product Management, User Experience Design และ Software Engineering
พี่เฟิร์นอยากให้ True Digital Academy สามารถช่วยให้คนไทยสามารถเข้าถึงหลักสูตรระดับโลก โดยนำเอาหลักสูตรเหล่านี้มาปรับปรุงให้เข้ากับบริบทขององค์กรและบุคลากรไทย และอยากนำเรื่องราวความสำเร็จในการเปลี่ยนสายอาชีพที่ทาง Partner เคยทำสำเร็จในต่างประเทศ เช่น การเปลี่ยนคนขับ Uber ในสิงคโปร์ให้กลายเป็น Software Engineer มาสร้างให้เกิดขึ้นในเมืองไทย
ตอนนี้ทาง True Digital Academy กำลังนำร่องโปรแกรมการเปลี่ยนสายอาชีพด้วยคลาส Data Science Immersive หลักสูตรที่เน้นสร้าง junior data scientist โดยทำการ reskill ผ่านการเรียนรู้เต็มเวลาตลอด 3 เดือน
ในฐานะของคนๆ หนึ่งที่ได้รับประโยชน์จากการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการ Reinvent ตัวเองอย่างต่อเนื่อง พี่เฟิร์นหวังว่า True Digital Academy จะมีส่วนช่วยส่งผ่านโอกาสให้หลายๆ คนได้ต่อยอดความรู้และช่วยสนับสนุนการเดินทางของหลายๆ คนในการค้นหาตัวเอง หาสิ่งใหม่ๆ ที่ตัวเองรัก และหาโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับทั้งตนเองและองค์กร
การมีอยู่ของมหาวิทยาลัยยังจำเป็นอยู่ไหม
พี่เฟิร์นมองว่า มหาวิทยาลัยจะยังไม่หายไปไหน แต่จะมีบทบาทที่ซับซ้อนขึ้น จากเดิมเราเรียนจบแล้วก็ไปทำงาน แต่ตอนนี้เส้นแบ่งระหว่างการเรียนและการทำงานนั้นไม่ได้ชัดเจนเหมือนในอดีต ช่องทางดิจิทัลต่างๆ ช่วยอำนวยความสะดวกทำให้เด็กๆสามารถ “ทำงาน” ได้ตั้งแต่เล็กๆ เช่น Ryan Kaji วัย 9 ขวบที่รีวิวของเล่นใน YouTube ตั้งแต่ 3 ขวบจนมีรายได้กว่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ในทำนองเดียวกัน ถึงทำงานแล้ว ก็ยังต้องเรียนรู้และพัฒนาทักษะตัวเองอยู่ตลอดเพื่อก้าวตามโลกให้ทัน
เนื่องจากการเรียนรู้จะเปลี่ยนไปในลักษณะของ “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” มากขึ้น ภาคการศึกษาอื่นๆ นอกเหนือจากการศึกษาภาคบังคับจึงเริ่มมีบทบาทมากกว่าเดิม ความสำคัญของใบปริญญาอาจจะน้อยลงเพราะเราอยู่ในยุคที่ทักษะที่สำคัญกับการทำงานมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ทั้งยังมีตัวเลือกอื่นนอกเหนือจากมหาวิทยาลัยมากขึ้น ดังนั้น มหาวิทยาลัยเอง ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ในอนาคต
ไม่ใช่ทุกคนที่เดินอ้อมกำลังหลงทาง
อย่างแรก สำหรับใครที่ยังอยู่ในช่วงของการค้นหาตัวเอง และอาจมีความกังวลว่ามาถูกทางรึเปล่า อยากขอยืมคำพูดจากหนังสือเล่มโปรดมาแชร์ว่า “Not all those who wander are lost” ในเส้นทางชีวิต ตราบใดที่ระหว่างทางเราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น จะเดินอ้อมบ้างก็ไม่เป็นไร แนะนำว่าให้ลองหาสูตรของความสุขในชีวิตที่เหมาะสมกับตัวเอง และอย่ากลัวที่จะ Reinvent ตัวเองเรื่อยๆ
อีกอย่างคือ ตอนนี้น้องๆรุ่นใหม่เก่งขึ้นทุกๆวัน สภาพการแข่งขันก็สูงขึ้น อาจะมีแนวโน้มที่จะรู้สึกว่าเรา “ขาดอะไร” อยู่ตลอด เลยอยากให้ลอง “Practice Gratitude” คือ ทุกๆ วันลองพยายามหามุมที่เรารู้สึกขอบคุณ เช่น ทั้งจากการทำงาน จากคนรอบตัว จากโอกาสที่ได้รับ จะทำให้เราได้มุมมองเพิ่มขึ้นว่า จริงๆแล้วเราเองก็ “มีอะไร” ให้น่าดีใจและอุ่นใจอยู่ไม่น้อย
Personal Branding คืออะไร? สื่อสารอย่างไร? ในวันที่ตัวตนสำคัญกว่าตัวแบรนด์

FacebookFacebookXXLINELine‘แบรนด์’ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำธุรกิจ แต่หากเราพูดถึงการสร้างแบรนด์ในปัจจุบัน Personal Branding จะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนให้ความสนใจ และให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆแต่เมื่อพูดถึง Personal Branding…