Charlie Watts: มือกลองคนสำคัญแห่ง The Rolling Stones

Home » Career Fact » Inspiration » Charlie Watts: มือกลองคนสำคัญแห่ง The Rolling Stones

เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้แฟนเพลงทั่วโลกต่างโศกเศร้ากับการจากไปอย่างสงบของ ชาร์ลี วัตต์ส (Charlie Watts) สุดยอดมือกลองที่เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 80 ปี

The Rolling Stones วงดนตรีร็อกแอนด์โรลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอาจมีภาพจำจากเสียงร้องสุดเย้ยหยันของ มิก แจ็กเกอร์ (Mick Jagger) หรือเสียงริฟฟ์กีต้าร์แสนคลาสสิกของ คีธ ริชาร์ดส์ (Keith Richards) แต่อีกหนึ่งคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ ‘วงหินกลิ้ง’ ตลอดเวลากว่า 6 ทศวรรษคือมือกลองคนสำคัญอย่าง ชาร์ลี วัตต์ส

ชายที่ไม่เต็มใจกับความเป็นร็อกสตาร์ เอาแต่ใจและแน่วแน่ในความต้องการของตัวเอง สไตล์ทางดนตรีที่ยากจะมีใครลอกเลียนแบบ

วันนี้ Career Fact จะพาทุกคนไปทำความรู้จักมือกลองสุดยิ่งใหญ่ที่ตลอดอาชีพของเขาไม่เคยอยากทำตัวให้เป็นร็อกสตาร์

 

เด็กชายชาร์ลี

ชาร์ลีเติบโตในลอนดอน มีคุณพ่อเป็นคนขับรถบรรทุกและแม่เป็นแม่บ้าน เขาชอบดนตรีตั้งแต่เด็กโดยเฉพาะดนตรีแจ๊ส และเริ่มตีกลองตั้งแต่อายุ 13 หลังจากพ่อแม่ซื้อกลองชุดแรกให้เขา ชาร์ลีตกหลุมรักกลองหลังจากได้ยินเสียงชุดกลองในเพลงของ ชิโก แฮมิลตัน (Chico Hamilton) พอรู้ตัวอีกทีเขาก็ติดตามนักดนตรีแจ๊สชื่อดังคนอื่นๆ อีกหลายคน  

เพลงของ จอห์นนี่ ด็อดส์ ชาร์ลี ปาร์คเกอร์ รวมถึง ดุค เอลลิงตัน ทำให้เขาเรียนรู้ทักษะดนตรีด้วยตัวเองจากการฟัง แต่ชาร์ลีเลือกเรียนต่อด้านออกแบบกราฟฟิกที่ Harrow Art School และทำงานให้กับบริษัทโฆษณาในลอนดอน โดยที่ตีกลองเป็นงานอดิเรก

หลังจากไปทำงานด้านออกแบบที่เมืองโคเปเฮเก้น ชาร์ลีก็กลับมาลอนดอนอีกครั้ง และรับงานแรกในฐานะมือกลองของวง Blues Incorporated ซึ่งเป็นการพบกันครั้งแรกของเขากับ มิก แจ็กเกอร์ นักร้องที่กำลังฟอร์มวงดนตรีของตัวเองขึ้นมา ในชื่อ ‘The Rolling Stones’

 

มือกลองที่ยิ่งใหญ่

หลังจากเขารับคำชักชวนให้ร่วมวง The Rolling Stones ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1963 ชาร์ลีเคยบอกว่าเพื่อนร่วมวงของเขาทั้ง มิก แจ็กเกอร์ คีธ ริชาร์ดส์ และไบรอัน โจนส์ ทำให้เขาได้รู้จักแนวดนตรีที่หลากหลายขึ้นทั้งแนว R&B บลูส์ รวมถึงพัฒนาตัวเองสู่ดนตรีร็อกแอนด์โรล และในที่สุดวงก็เปิดตัวซิงเกิ้ลแรกโดยคัฟเวอร์เพลง ‘Come On’ ของชัค เบอร์รี่ ที่ชาร์ลีโชว์ทักษะตีกลองด้วยสวิงแขนที่ดูเรียบง่ายแต่มีพลัง จากความสามารถอันโดดเด่นของสมาชิกในวงทำให้ The Rolling Stones ผลักดันตัวเองสู่วงดนตรียอดนิยมได้อย่างรวดเร็ว

ชาร์ลีและเพื่อนๆ พาวงดนตรีร็อกแอนด์โรลวงนี้โด่งดังข้ามทวีปสู่สหรัฐอเมริกาโดยมีเพลงยอดฮิตติดชาร์ทอันดับ 1 หลายเพลงตั้งแต่ “(I Can’t Get No) Satisfaction”, “Get Off of My Cloud”, “Paint It Black” และ “Brown Sugar” โดย The Rolling Stones มียอดขายทั้งหมดกว่า 200 ล้านชุดและได้รับรางวัลมากมายในฐานะหนึ่งในวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของโลกทั้งรางวัล แกรมมี่ อวอร์ด 3 ครั้ง และถูกจัดให้อยู่อันดับ 4 ของวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของนิตยสารโรลลิงสโตน ซึ่งชาร์ลีก็อยู่ในอันดับที่ 12 ในรายชื่อ 100 มือกลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของนิตยสารโรลลิงสโตนปี 2012

นอกจากนี้เขายังหลงใหลดนตรีแจ๊สอยู่ตลอดและมีโปรเจ็คของตัวเองในหลายๆ ชื่อ เช่น Charlie Watts Orchestra, ABC&D และ Charlie Watts Quintet โดย ‘ความเป็นตัวของตัวเอง’ คือสิ่งที่ชาร์ลีพยายามรักษาไว้ แม้ชื่อเสียงของวงจะโด่งดังในความเป็นร็อกแอนด์โรล

 

อีกด้านหนึ่ง

ไม่ใช่ว่าความสำเร็จจะเป็นเพียงด้านเดียวของเขาเท่านั้น เพราะหลายครั้งที่เราเคยได้ยินนักดนตรีต่างหลงผิดและออกนอกลู่นอกทาง ชาร์ลีก็เช่นกัน

ตลอดอาชีพการทำงานเป็นนักดนตรี ชาร์ลีต่อต้านการใช้เฮโรอีนเกินขนาดของเพื่อนร่วมวงเสมอ แต่เขาเองก็เคยติดเฮโรอีนอยู่ช่วงหนึ่ง “ตอนนั้นผมกำลังทำสงครามกับตัวเอง” เขากล่าวไว้ และสิ่งที่ทำให้เขาผ่านช่วงเวลานั้นมาได้คือเพื่อนอย่างคีธ และความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับภรรยาที่ทำให้เขาเลิกยาเสพติดได้สำเร็จ

เพราะเพื่อนและครอบครัวที่ทำให้ชีวิตร็อกสตาร์ของเขาไม่เหลวแหลก

 

ทักษะและสไตล์ที่แตกต่าง

อาชีพมือกลองเป็นภาพที่ทุกคนเห็น ทว่าในอีกด้านของชาร์ลี เขายังมีส่วนร่วมในด้านอื่นๆ ให้กับวงด้วย ตั้งช่วยทำภาพปกอัลบั้ม ออกแบบเวทีในทัวร์หลายครั้ง รวมถึงเป็นคนคิดชื่ออัลบั้ม “Between the Buttons” อันโด่งดัง โดยทักษะด้านออกแบบและความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ติดตัวเขามาตั้งแต่สมัยเรียนวิทยาลัยศิลปะ

เทคนิคด้านดนตรีของเขาเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ยากจะมีใครลอกเลียนแบบซึ่งมีส่วนทำให้สไตล์การตีกลองของเขาแตกต่างจากคนอื่น เพราะวงดนตรีร็อกหลายๆ วงมักจะใช้มือกลองโชว์พลังการตีและลูกเล่นที่แพรวพราว แต่สำหรับชาร์ลีนั้นเขาค่อนข้างเป็นมือกลองที่เคลื่อนไหวน้อยๆ ช้าๆ สุขุม พร้อมกับลีลาการจับไม้กลองสบายๆ แบบแนวแจ๊สที่เขาหลงใหล ทำให้ริฟฟ์กีต้าร์และกลองในเพลงของ The Rolling Stones มีเสน่ห์และดึงดูดใจแฟนเพลง

 

ร็อกสตาร์ที่หลบแสง

ความโด่งดังและชื่อเสียงของ The Rolling Stones นั้นมากพอที่จะทำให้ชาร์ลีเป็นร็อกสตาร์แถวหน้าของวงการดนตรี แต่บุคลิกส่วนตัวของเขาเป็นสิ่งที่แตกต่างจากเพื่อนร่วมวงและคนอื่นในวงการดนตรีที่ประสบความสำเร็จระดับนี้

นิ่งเงียบ สุภาพ พูดน้อย

หลีกเลี่ยงความสนใจจากสาธารณะ

สวมชุดสูทสั่งตัดพิเศษจากช่างตัดเสื้อ Savile Row

สะสมเครื่องเงิน มีรถโบราณ และมีบ้านอยู่แถบชนบท

รวมถึงแต่งงานมีครอบครัวที่ครองคู่กันยาวนานกว่า 50 ปี

ไลฟ์สไตล์ที่ไม่ฟุ่มเฟือยแบบร็อกสตาร์ทำให้เขาแตกต่างและดูประหลาดเมื่อเทียบกับคนอื่น แต่การรู้ ‘ความต้องการของตัวเอง’ และยืนหยัดในสิ่งที่ตัวเองเป็นคือคำตอบที่เขาใช้มันมาตลอดชีวิตการเป็นนักดนตรีและมือกลองอาชีพจนถึงทุกวันนี้ และฝากเป็นบทเรียนสำหรับทุกคนในวันที่เขาจากไป

 

อ้างอิง

https://bit.ly/3kqrhuF

https://bit.ly/3jg5bf3

https://nyti.ms/3mzoFNV

สูตรความสำเร็จกับ "ที่สุด" ของประเทศ

คอร์สออนไลน์กับผู้บริหาร ผู้นำทางความคิด แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน