หลังจากเรียนจบได้ราว 1 ปี บ็อบบี้ บราวน์ ก็ย้ายไปพักอาศัยที่เมืองนิวยอร์กเพื่อเริ่มต้นอาชีพช่างแต่งหน้า ตอนนั้นเธอไม่รู้จักใครในวงการเลย และสิ่งที่เธอทำก็คือเปิดสมุดหน้าเหลือง หาหัวหัวข้อ ‘แต่งหน้า’ และ ‘นางแบบ’ แล้วไล่โทรถามทุกข้อสงสัยที่เธอมี
เธอไม่เคยละทิ้งนิสัยช่างสงสัย แถมยังรู้จักใช้มันให้เกิดประโยชน์ จนสามารถสร้างอาณาจักรเครื่องสำอางได้อย่างทุกวันนี้
ทุกครั้งที่เธอต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญเพื่อขยายกิจการ บราวน์จะได้รับความช่วยเหลือเสมอเพราะความเป็นมิตรของเธอที่มักจะบังเอิญคุยได้ถูกคนและถูกเวลา
การพูดคุยในร้านขายยาทำให้เธอได้คู่ค้าทางธุรกิจ
ในช่วงปลายทศวรรษ 80 ขณะที่บราวน์ยังทำงานเป็นช่างแต่งหน้าอยู่ เธอเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนากับนักเคมีคนหนึ่งในร้านร้านขายยาของ Kiehl เธอบอกว่า
“ฉันมีไอเดีย ฉันอยากทำลิปสติกที่ไม่มัน ไม่แห้ง กลิ่นไม่เหมือนลิปสติกแม่ฉัน แล้วก็สีเหมือนปากฉันจริงๆ” การแต่งหน้าลุคธรรมชาติเป็นของใหม่ในยุคที่นิยมสีฉูดฉาด
ชายคนนั้นตอบกลับมาว่า “ผมจะทำให้” แล้วเขาก็ทำตามสัญญาพร้อมกับโทรมาหาเธออีกรอบว่า “มาเป็นหุ้นส่วนกันไหม ถ้าเราขายแท่งละ 15 เหรียญ คุณจะได้ 7.50 เหรียญ ผมก็ได้ 7.50 เหรียญ”
และนั่นก็คือจุดเริ่มต้น
การพูดคุยกับเพื่อนทำให้เธอได้พีอาร์ฟรี
จากลิปสติกเฉดสีเดียวเติบโตกลายเป็น 10 เฉด
บราวน์บอกเล่าเรื่องราวความเพียรพยายามของเธอให้กับเพื่อนคนหนึ่งฟัง ซึ่งบังเอิญว่าเพื่อนคนนั้นก็เป็นบรรณาธิการอยู่ที่นิตยสาร Glamour อยู่พอดี เธอถามบราวน์ว่าสามารถเขียนเกี่ยวกับลิปสติกคอลเลกชั่นที่เธอพูดถึงได้หรือเปล่า
“ตอนนั้นฉันแบบ ‘ทำไมถึงอยากให้ฉันเขียน?’ ตอนนี้ฉันเพิ่งรู้ว่ามันเรียกว่าการพีอาร์”
บราวน์ได้แนบเบอร์โทรศัพท์บ้านของเธอในบทความที่เธอเขียนด้วย และหลังจากมันได้ตีพิมพ์ ออเดอร์ก็เข้ามาไม่หยุด ตอนนั้นยังไม่มีกล่องดีๆ เลยด้วยซ้ำ เนื่องจากเธอยังทำงานเป็นช่างแต่งหน้า ส่วนสามีของเธอก็ยังเรียนกฎหมายอยู่ ทั้งสองจึงใช้วิธีช่วยกันแพ็กลิปสติกในซองจดหมายสีน้ำตาลแล้วส่งไปรษณีย์
การเดินเล่นในสวนสาธารณะคือการสำรวจตลาด
“ฉันถามความเห็นคนอื่นเยอะมาก”
ช่วงแรกๆ เธอจะเดินเข้าไปหาคนแปลกหน้าตามสวนสาธารณะแล้วขอให้พวกเขาช่วยลองเทสต์ผลิตภัณฑ์ของเธอหน่อย
“ทุกคนชอบมัน ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่ามันเรียกว่า Focus Group แต่ตอนนั้นฉันก็แค่ถามความเห็นคนอื่นเฉยๆ” บราวน์กล่าว “ฉันจะไปเดินตามสวนสาธารณะ เห็นผู้หญิงหลากหลายเชื้อชาติ แล้วก็ให้พวกเธอลองผลิตภัณฑ์เพื่อจะได้รู้ว่าสีลิปแบบไหนที่ใช้ได้กับทุกสีผิว”
ทนความเงียบในลิฟต์ไม่ไหวเลยได้แลบทำลิปมาโดยไม่ตั้งใจ
“ฉันรู้สึกแปลๆ เวลาอยู่ในลิฟต์แล้วไม่มีใครพูดอะไรกันเลย ฉันจะเป็นฝ่ายทักทายก่อนเสมอ”
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นิสัยนี้ของเธอทำให้เจอเข้ากับความโชคดี ระหว่างที่เธอกำลังขึ้นลิฟต์ที่อพาร์ทเมนต์ เธอเอ่ยทักทายหญิงสาวอีกคนแล้วถามว่าเธอทำอะไร หญิงสาวคนนั้นตอบว่า “ฉันทำแล็บอยู่ที่ลองไอส์แลนด์” ได้ยินแบบนั้นบราวน์ก็ขอนามบัตรเธอ และแล็บนั้นก็กลายเป็นสถานที่ที่เธอใช้ทำลิปสติก
ถึงแม้จะขายบริษัทไปแล้ว บราวน์ก็ยังยืนกรานกับเอสเต้ลอเดอร์ว่าต้องผลิตลิปสติกที่แล็บเดิมเท่านั้น
บทสนทนาระหว่างจิบค็อกเทลทำให้เธอได้จำหน่ายลิปในห้าง
เธอไปงานเลี้ยงหนึ่งและแนะนำตัวเองกับผู้จัด เธอถามคำถามเดิมกับตอนที่อยู่ในลิฟต์ นั่นคือ “คุณทำอาชีพอะไร” อีกฝ่ายบอกว่า “ฉันเป็น Cosmetics Buyer (นักวางแผนและจัดซื้อเครื่องสำอาง) ที่ Bergdorfs” แน่นอนว่าบราวน์ไม่พลาดโอกาสในการแนะนำคอลเลกชั่นลิปสติกของเธอ และเป็นอีกครั้งที่นิสัยช่างพูดช่างคุยของเธอช่วยคว้าโอกาสทางธุรกิจมาให้
“ฉันคุยกับทุกคน ฉันรู้สึกว่าคนเราน่าสนใจมากๆ” บราวน์กล่าว “ก็แค่เป็นมิตรกับคนอื่น ของแบบนี้มันเป็นเรื่อง Common Sense นะ อย่าทำเพียงเพราะมีจุดประสงค์แฝง ถ้าทำเพราะอยากทำ มันจะทำให้คุณรู้สึกดีจริงๆ”
อ้างอิง
Personal Branding คืออะไร? สื่อสารอย่างไร? ในวันที่ตัวตนสำคัญกว่าตัวแบรนด์

FacebookFacebookXXLINELine‘แบรนด์’ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำธุรกิจ แต่หากเราพูดถึงการสร้างแบรนด์ในปัจจุบัน Personal Branding จะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนให้ความสนใจ และให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เมื่อพูดถึง Personal…