“WHO เผยนั่งทำงานเฉยๆ ก็เสี่ยงอันตรายถึงชีวิตและคร่ากว่าปีละ 745,000 ชีวิต

Home » Career Fact » Development » “WHO เผยนั่งทำงานเฉยๆ ก็เสี่ยงอันตรายถึงชีวิตและคร่ากว่าปีละ 745,000 ชีวิต

ในโลกที่ทุกอย่างคือการแข่งขัน พวกเราทุกคนก็พยายามทำงานกันอย่างหนักเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตัวเอง บางคนต้องการเติบโตในหน้าที่การงาน บางคนต้องการทำให้ธุรกิจของตัวเองประสบความสำเร็จ โดยที่บางครั้งก็ลืมที่จะหันกลับมาดูแลสุขภาพของตัวเอง

หลายคนอาจกำลังคิดว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผลเสียจากการทำงานหนักนั้นมันร้ายแรงกว่าที่ทุกคนคิด และวันนี้ Career Fact จะมาเล่าผลเสียจากการทำงานมากเกินไปให้ฟัง

 

สถิติจากองค์การอนามัยโลก

องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า การทำงานหนักเป็นสาเหตุที่ทำให้กว่าแสนคนเสียชีวิตต่อปี ในปี 2016 มีคนจำนวนถึง 745,000 คนเสียชีวิตจากการทำงานมากกว่า 55 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2000 ถึง 590,000 คน โดยที่สาเหตุการเสียชีวิตหลักๆ มาจากโรงหลอดเลือดสมอง (Stroke) 398,000 คน และจากโรคหัวใจอีก 347,000 คน นอกจากนี้ ความเครียดและพฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่าง เช่น การทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ การอดนอน และการไม่ออกกำลังกาย ก็อาจจะเป็นอีกสาเหตุที่ยิ่งทำให้สุขภาพของคนที่ทำงานหนักอยู่แล้วแย่ลงไปอีก

 

ปัญหาสุขภาพจากการทำงานมากเกินไป

ถ้าเราทำงานเกิน 55 ชั่วโมงต่อสัปดาห์จะเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคหลอดเลือดสมองมากขึ้นถึงร้อยละ 35 และเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจถึงร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับการทำงานเพียง 35 ถึง 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

 

ใครบ้างที่มีความเสี่ยง

จากสถิติ 72 เปอร์เซ็นต์ของคนที่เสียชีวิตจากโรคที่เกิดจากทำงานคือผู้ชาย นอกจากนี้ คนที่อาศัยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเราๆ รวมทั้งคนวัยกลางคน และวัยชราจะมีโอกาสเป็นโรคจากการทำงานมากกว่าคนทั่วไป

 

ไม่ใช่แค่คุณที่ทำงานมากเกินไป

ใครเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเข้าข่าย ขอให้จำไว้ว่าไม่ใช่คุณคนเดียว เพราะประมาณร้อยละ 9 ของประชากรทั้งหมดบนโลกทำงานหนักเกินไป ในปี 2016 มีงานวิจัยรายงานว่า ประมาณ 488 ล้านคนทำงานมากกว่า 55 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ถึงแม้ว่างานวิจัยจะไม่ได้ทำการค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมหลังจากปี 2016 แต่สถิติในอดีตก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ชั่วโมงในการทำงานของคนนั้นเพิ่มขึ้นหลังจากการเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ โดยในช่วงนี้เอง โควิด-19 ก็ทำให้คนทำงานหนักมากขึ้นเช่นกัน ถึงแม้การทำงานทางไกลจะทำให้ชีวิตสะดวกขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้เส้นคั่นระหว่างการทำงานกับการใช้ชีวิตส่วนตัวที่บ้านนั้นจางหายไป นอกจากนี้หลายๆ ธุรกิจก็ต้องลดต้นทุนของบริษัทตัวเอง วิธีการลดต้นทุนแบบหนึ่งก็คือการลดจำนวนพนักงานลง หมายความว่า พนักงานที่ยังไม่โดนปลดออกก็ต้องทำงานหนักขึ้น และทำงานในส่วนของคนที่โดนปลดออกไปด้วย

 

งานที่มีความเสี่ยงยังไม่เท่างานออฟฟิศที่นานเกินไป

จากงานวิจัยสามปี (2000, 2010, และ 2016) ระบุว่าการทำงานออฟฟิศหนักเกินไปส่งผลให้เกิดโรคมากกว่าการทำงานที่ขึ้นชื่อว่ามีความเสี่ยงสูงอย่างงานที่ต้องสัมผัสสารก่อมะเร็ง หรือการไม่ใช้เข็มขัดนิรภัยในการทำงานก่อสร้างต่างๆ นอกจากนี้ แนวโน้มการทำงานมากเกินไปยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปี 2000 ถึง 2016 มีจำนวนคนที่ทำงานหนักเกินไปเสียชีวิตจากโรคหัวใจเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 42 และโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 19

 

แนวทางการแก้ไข

แล้วในฐานะที่คุณเป็นนายจ้างหรือลูกจ้าง คุณจะสามารถทำอะไรได้บ้างในการหาจุดสมดุลของการทำงานให้เจอ

สำหรับนายจ้าง คุณต้องจัดตารางเวลาการทำงานให้ชัดเจน และไม่สนับสนุนให้พนักงานทำงานล่วงเวลา นอกจากนี้คุณต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีด้วยการเลิกงานให้ตรงเวลา และต้องขีดเส้นคั่นระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวให้ชัดเจน จะไม่มีการตอบอีเมลหรือทำงานใดๆ ไม่ว่าจะในวันหยุดสุดสัปดาห์หรือเวลาที่คุณลาหยุดพักร้อนถ้าไม่จำเป็นจริงๆ

นายจ้างยังไม่ควรติดต่อเรื่องงานนอกชั่วโมงเวลางาน ยกเว้นแต่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่สำคัญและเร่งด่วนมากๆ เพราะหลายครั้งพนักงานอาจรู้สึกกดดันที่ต้องรีบตอบคำถามให้ดีในเวลาจำกัด คุณอาจจะแค่ร่างอีเมลไว้ก่อน และส่งให้ลูกน้องในวันต่อไป หรือถ้าคุณจำเป็นต้องส่งอะไรให้ลูกน้องเดี๋ยวนั้นจริงๆ คุณก็อาจจะบอกลูกน้องของคุณว่า พวกเขาไม่จำเป็นต้องตอบทันที

นายจ้างสามารถนำวิธีการบริหารจัดการเวลาที่ดีมาใช้ เช่น การกำหนดวันหรือช่วงเวลาที่พนักงานไม่ต้องตรวจดูแชทหรืออีเมลเลย เพื่อไม่ให้พนักงานรู้สึกถูกรบกวน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

นอกจากนี้ นายจ้างต้องสนับสนุนให้พนักงานลาหยุดมากขึ้น รู้หรือไม่ว่า ในปี 2017 พนักงานชาวอเมริกันไม่ได้ใช้สิทธ์ลาหยุดพักร้อนเป็นจำนวนมากกว่า 200 ล้านวันรวมกัน แต่พนักงานจะมีความสุขขึ้นอย่างมากและจะกระตือรือร้นมากขึ้นหลังจากการลาหยุดพักร้อน ดังนั้นการให้พนักงานลาหยุดให้ครบตามสิทธ์ของเขาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

สำหรับลูกจ้าง คุณต้องทำงานชิ้นใหญ่ให้เสร็จก่อนงานอื่นๆ ถึงแม้ว่าการทำงานเล็กๆ ให้เสร็จก่อนจะง่ายกว่าและทำให้คุณรู้สึกเหมือนทำงานได้เยอะก็ตาม แต่ถ้าคุณการทำสิ่งที่สำคัญก่อนจะทำให้คุณเลิกงานได้ตรงเวลา ในทางกลับกันถ้าคุณเก็บงานที่สำคัญที่สุดไว้ทำตอนใกล้เวลาเลิกงาน คุณจะต้องทำงานต่อจนกว่าจะเสร็จ ทำให้คุณเลิกงานสายได้

ลูกจ้างต้องมีแผนการในการเลิกงานที่ชัดเจนในแต่ละวัน ถ้าคุณเป็นคนที่มีปัญหาในการเลิกงาน คุณต้องลองไปลงเรียนคลาสออกกำลังกายหรือลองนัดทานอาหารมื้อค่ำกับเพื่อนดู การมีนัดในตอนเย็นจะทำให้คุณมีความกระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นระหว่างวัน และบังคับให้คุณต้องเลิกงานอย่างตรงเวลา

ลูกจ้างต้องตั้งขอบเขตในการทำงาน ถ้าคุณได้รับงานใหม่เพิ่มตอนที่กำลังจะกลับบ้าน คุณต้องตั้งความคาดหวังที่เหมาะสมให้กับคนที่ให้งานคุณ คุณต้องบอกเขาว่า คุณจะเลิกงานเวลาไหน และพวกเขาต้องติดต่อมาก่อนเวลานั้น ถ้าเป็นไปได้ ปิดเสียงแจ้งเตือนในแอปพลิเคชันของคุณทันทีที่คุณเลิกงาน คุณจะได้ไม่ต้องคอยกระวนกระวายที่จะต้องตอบแชทหรืออีเมลอยู่ตลอด จำไว้ว่า คนอื่นๆ จะไม่เคารพในเวลาของคุณ หากตัวคุณเองยังไม่เคารพเวลาของตัวคุณเองเลย

ลูกจ้างต้องคอยคิดว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญจริงๆ คุณต้องคิดว่า ถ้าการประชุมรายอาทิตย์ของคุณไม่ได้มีเนื้อหาหรือหัวข้ออะไรให้พูดคุยกันมากนัก คุณอาจเลือกที่จะส่งอีเมลแทนการจัดการประชุม นอกจากนี้ คุณยังต้องคอยหมั่นดูปฏิทินของคุณอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่า การนัดการประชุมต่างๆ นั้นสำคัญจริงๆ กับคุณ คุณลองพิจารณาถึงความจำเป็นของแต่ละการประชุมที่คุณต้องเข้าร่วม และดูว่าคุณสามารถตัดการประชุมใดที่ไม่สำคัญมากออกไปได้บ้าง เพื่อหาเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น

 

การทำงานหนักเกินไปและความเครียดจากการทำงานอาจเป็นสิ่งที่ทุกคนคิดว่าเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่ความจริงแล้ว มันส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพในการทำงานของเราทุกคน ถึงแม้ว่ามันจะมีบางครั้งที่เราจะต้องทำงานหนักบ้างเพื่อทำงานให้เสร็จ ความเคยชินต่อการทำงานหนักก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี

ถ้าเราทุกคนทำตามกลยุทธ์ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง และเราทุกคนก็จะได้รับประโยชน์ และมีความสุขมากขึ้น มีสุขภาพดีขึ้น และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

อ้างอิง
https://nyti.ms/3uRm8zf
https://bit.ly/3wNsVLy
https://indeedhi.re/3v3Ck0m

 

สูตรความสำเร็จกับ "ที่สุด" ของประเทศ

คอร์สออนไลน์กับผู้บริหาร ผู้นำทางความคิด แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน