ทำไมเราไม่เก่งเท่าคนอื่น? คำถามที่ใครหลายๆ คนเคยถามตัวเอง
ในยุคที่คุณค่าของคนวัดจากความสำเร็จ มีผู้คนมากมายพยายามอย่างหนักครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้ตนเองเป็นที่ยอมรับของสังคมว่าเป็นคนที่มีคุณค่า แต่ยิ่งประสบความสำเร็จมากเท่าใด พวกเขากลับยิ่งจมอยู่กับความรู้สึกที่ว่าความสำเร็จของเขาเป็นเรื่องหลอกลวงหรือมองว่าเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ทำได้
อาการแบบนี้เรียกว่า ‘Imposter Syndrome’ หรือ ‘อาการที่คิดว่าตัวเองไม่เก่ง’
Imposter Syndrome คืออะไร?
คำนี้ปรากฏครั้งแรกเมื่อปี 1978 ในบทความวิชาการชื่อ ‘The Imposter Phenomenon in High Achieving Women:Dynamic and Therapeutic Intervention’ เขียนโดยนักจิตวิทยาคลินิก Pauline Clance และ Suzanne Imes หลังได้พูดคุยกับผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จจำนวน 150 คน และพบว่าพวกเธอส่วนมากมองตัวเองเป็นคนหลอกลวง (Imposter) เพราะรู้สึกว่าความสำเร็จที่ได้มานั้นไม่ได้เกิดจากความสามารถของพวกเธอเอง
แม้จะไม่มีคำตอบที่แน่ชัดว่าอะไรคือสาเหตุของ Imposter Syndrome นักจิตวิทยาหลายคนเชื่อว่ามันอาจจะเกิดจากลักษณะบุคลิกภาพบางชนิด เช่น ความไม่มั่นใจในตัวเอง และการชอบวิตกกังวลกับสิ่งต่างๆ เป็นต้น
อาการของ Imposter Syndrome
Imposter Syndrome สามารถแบ่งออกได้หลักๆ 5 ประเภท
- ผู้แสวงหาความสมบูรณ์ (The Perfectionist)
มักตั้งความหวังไว้สูงเกินจริงและเมื่อไม่ประสบความสำเร็จตามที่คิดหรือมีข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็จะรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว - ผู้แสวงหาความรู้ (The Expert)
มักอยากเรียนรู้ทุกอย่างเพราะรู้สึกว่าตัวเองเก่งไม่พอ และกลัวการถามคำถามเพราะคิดว่าจะทำให้ตัวเองดูโง่ - ผู้แสวงหาความเก่ง (The Natural Genius)
มักรู้สึกว่าตัวเองดีหรือเก่งไม่พอถ้าทำอะไรไม่สำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก - ผู้แสวงหาตัวตน (The Soloist)
มักชอบทำงานคนเดียว และจะรู้สึกว่าเองล้มเหลวหรือเป็นคนหลอกลวงถ้าต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น - ผู้แสดงหาการยอมรับ (The Superwoman/Superman)
มักพยายามผลักดันให้ตัวเองทำงานหนักขึ้นเพื่อพิสูจน์ว่าความสำเร็จของพวกเขา ไม่ใช่เรื่องหลอกลวงและรู้สึกว่าต้องประสบความสำเร็จในทุกด้านของชีวิต
แม้ Imposter Syndrome จะมีหลายประเภท แต่อาการทั่วไปที่สามารถพบได้บ่อยคือ
- สงสัยในความสำเร็จของตัวเองว่าเป็นของจริงหรือเปล่า
- ประเมินความสามารถของตัวเองต่ำกว่าความจริง
- คิดว่าความสำเร็จของตัวเองนั้นมาจากปัจจัยภายนอก เช่น ดวง คนอื่น
- ตั้งเป้าหมายที่สูงจนเกินไป
- กลัวว่าตัวเองจะไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวัง
วิธีแก้ Imposter Syndrome
หากใครกำลังประสบปัญหา Imposter Syndrome สิ่งที่ง่ายที่สุดที่เราสามารถทำได้คือการชื่นชมตัวเองโดยใส่ชื่อของเราไปด้วย เช่น แทนที่จะบอกว่า ‘เราเก่งมาก!’ ก็ให้พูดว่า ‘เก่งมากเมย์!’ ในช่วงแรกเราอาจจะรู้สึกอายสักหน่อย แต่พอทำไปเรื่อยๆ เราก็จะรู้สึกมั่นใจมากขึ้น เพราะการชื่นชมตัวเองนั้นช่วยเปลี่ยนวิธีที่เรามองตัวเอง
ต่อมาคือการเขียนลิสต์ข้อดีหรือความสำเร็จต่างๆ ของเราอย่างน้อย 10 อย่าง แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยมากก็ตาม เช่น ‘ฉันได้เลื่อนตำแหน่ง’ หรือ ‘ฉันเลิกนอนดึกได้แล้ว’ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราก็มีคุณสมบัติไม่น้อยกว่าคนอื่น
ถัดมาคือมองหาความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม เช่น ทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ หรือ ทำพรีเซนต์งานเสร็จ
เพื่อให้เราเห็นความสำเร็จของตัวเองได้ง่ายขึ้น และเห็นว่าตัวเราเองที่เป็นคนที่ทำให้เกิดความสำเร็จ
สุดท้าย ลองเปิดใจพูดคุยกับคนที่เราไว้ใจ เพราะนอกจากเราจะได้ระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกไปแล้วเราอาจจะพบว่าเราไม่ได้เผชิญปัญหานี้คนเดียว มีคนมากมายที่พร้อมสู้ไปกับเรา
อย่างไรก็ตาม หากมีอาการ Imposter Syndrome เกิดขึ้นบ่อยครั้ง อาจทำให้เกิดความรู้สึกเหนื่อยล้า และนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้ ทางที่ดีถ้าใครมีอาการเรื้อรัง เราขอแนะนำให้พบแพทย์หรือนักจิตปรึกษา เพื่อรักษาอาการดังกล่าว
สุดท้ายอย่าลืมใจดีกับตัวเองให้มากๆ เช่น ให้อภัยตัวเองเมื่อทำผิดพลาด หรือให้รางวัลตัวเองเมื่อประสบความสำเร็จแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย และคอยเตือนตัวเองเสมอว่า ‘ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ’
อ้างอิง: หนังสือ Imposter Syndrome ทำมากแค่ไหนก็รู้สึกเก่งไม่พอ https://bit.ly/3ChRHGH https://bit.ly/3aNZ4uo
Personal Branding คืออะไร? สื่อสารอย่างไร? ในวันที่ตัวตนสำคัญกว่าตัวแบรนด์

FacebookFacebookXXLINELine‘แบรนด์’ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำธุรกิจ แต่หากเราพูดถึงการสร้างแบรนด์ในปัจจุบัน Personal Branding จะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนให้ความสนใจ และให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆแต่เมื่อพูดถึง Personal Branding…