Empowering youth to accelerate value-based sustainability คือ Tagline ที่นิยามความเป็นองค์กรที่อยากสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนให้กับสังคมผ่านพลังของคนรุ่นใหม่
วันนี้เรามีโอกาสพูดคุยกับชายหนุ่มวัย 27 ปี ‘แม็ก’ ชยุตม์ สกุลคู ผู้ที่เชื่อในพลังของคนในเจเนเรชันตัวเองว่า มีความสามารถมากพอที่จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยได้จริงๆ
ติดตามเส้นทางของเด็กกิจกรรมตัวยงที่อยากเอาจริงเอาจังกับการเปลี่ยนแปลงสังคม สู่การสร้างธุรกิจด้วยความเชื่อที่ว่า เราสามารถทำงานที่มีคุณค่าไปพร้อมกับการหารายได้เลี้ยงดูตนเองได้
#เด็กชายแม็กนักกิจกรรม
แม็กเป็นเด็กกิจกรรมตัวยงมาโดยตลอดตั้งแต่สมัยมัธยมจนเข้าเรียนที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็มีส่วนร่วมกับกิจกรรมหลายๆ ด้านตั้งแต่ชมรมโต้วาที พิธีกร จัดค่าย และประธานจัดงานจุฬาฯ วิชาการตอนเรียนอยู่ปี 4
“ยังคิดเลยว่าทุกวันนี้ใช้ทักษะที่ได้จากชมรมโต้วาที เยอะกว่าทักษะที่ได้จากวิศวะอีก” แม็กกล่าว การได้ฟังคู่แข่งว่าพูดอะไร จับประเด็น และค้าน ทำให้เขาได้ฝึกคิดให้รอบด้านและรอบคอบซึ่งส่งผลต่อการทำงานจนถึงปัจจุบัน รวมถึงความเป็นคน ‘พูดเก่ง’ ที่แม็กเล่าให้ฟังว่าหากย้อนกลับไปสมัยเรียนเขาเป็นเหมือนมือปืนประจำคณะรับบทเป็น MC และ Moderator ออกงานต่างๆ เยอะมาก ตั้งแต่พิธีกรงานประกวดดาวเดือน งานค่ายลานเกียร์และค่ายวิษณุ
#เริ่มนับหนึ่งกับงานช่วยสังคม
เหตุการณ์หนึ่งระหว่างออกค่ายอาสาที่ต้องลงพื้นที่ไปทาสี มีคำพูดสะกิดใจจากอาจารย์คนหนึ่งกล่าวว่า “เด็กรุ่นคุณน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ ทำอะไรได้มากกว่าทาสีหรือเปล่า” เพราะประโยคนั้นเองที่ทำให้แม็กชวนเพื่อนในจุฬาฯ มาลองหาชุมชนเพื่อช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ และลงพื้นที่ดูงานที่จังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาได้แตะเรื่องการพัฒนาและความยั่งยืนของชุมชน “ตอนนั้นเลยรู้สึกว่าการไปครั้งเดียวแล้วออกมามันไม่เวิร์ก ถ้าเราอยากให้ที่ๆ หนึ่งเปลี่ยนได้จริงๆ ต้องไปฝังตัวมากขึ้น” เขาเล่าเสริม
“เราอยากลองว่า ถ้าเราเอาจริงเอาจังกับมัน เราจะสามารถทำอะไรได้บ้าง เพราะเพื่อนในชมรมแต่ละคนก็มีทักษะกันอยู่แล้ว”
หลังจากเห็นโอกาสและความตั้งใจในการเปลี่ยนแปลงสังคม แม็กจึงชวนเพื่อนๆ ตั้งชมรมขึ้นมาเพื่อทำกิจกรรมค่ายอาสา โดยตั้งใจว่าจะไปเพียงที่เดียวแต่ไปหลายปีจนกว่าที่แห่งนั้นจะเปลี่ยนแปลง เรียกว่าเป็นแนวคิดที่สวนทางกับรูปแบบเดิมโดยสิ้นเชิง แม็กบอกว่าแก่นของ Tact ก็เกิดจากช่วงเวลานั้นส่วนหนึ่งด้วย เ้พราะคิดว่าคนรุ่นเขาน่าจะมีของที่จะช่วยสังคมให้มี Impact ขึ้นได้
#Transformจากชมรมสู่ธุรกิจTact #เชื่อในพลังของคนในเจเนเรชันใหม่
Tact นิยามตัวเองว่าเป็น Social Enterprise ที่อยากสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนให้กับสังคมผ่านพลังของคนรุ่นใหม่ แม็กเล่าเสริมว่าแม้ในวันนี้ Business Model อาจจะเปลี่ยนไปบ้างแต่จุดเริ่มต้นยังเหมือนเดิมคือการที่พวกเขาเชื่อในพลังของคนในเจเนเรชันตัวเองว่ามีความสามารถที่มากพอจะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมได้จริงๆ ทว่าสิ่งที่ยากที่สุดระหว่างการ Transform จากชมรมสู่ธุรกิจคือ ทีม และ Business Model เพราะในช่วงที่เป็นชมรมต้องลงแรงทำทุกอย่างฟรี แต่พอเป็นอาชีพก็ต้องทุ่มเทมากขึ้นเพื่อสร้างรายได้ให้อยู่เป็นอาชีพได้จริงๆ
แล้วอะไรคือ Business Model ที่ Tact หาอยู่
#ตอบโจทย์ลูกค้า #ช่วยสร้างโปรเจกต์สู่ความยั่งยืน
หากย้อนกลับไป Tact ยุคแรกมีแต่โปรเจกต์เพื่อสังคม แต่ไม่มี Business Model เน้นการขอทุนจากองค์กรและผู้สนับสนุนต่างๆ ได้รับเงินมาเป็นครั้งสองครั้งก็ต้องเลิกไป ทำให้พวกเขาต้องกลับมาหาความต้องการที่แท้จริงของกลุ่มองค์กรธุรกิจให้ลึกขึ้น
แม็กอธิบายว่า สมัยก่อนธุรกิจจะทำโครงการ CSR (Corporate Social Responsibility) – ก็คือได้กำไรจากการทำกิจการก็จะคืนกำไรในรูปแบบการบริจาค จัดกิจกรรมมอบของ ปลูกป่า แต่ตอนนี้มี Trend เรื่อง Sustainability ที่จริงจังมากขึ้น เพราะนักลงทุนต่างชาติ และลูกค้าคนรุ่นใหม่จะให้ความสำคัญกับธุรกิจที่ทำเรื่องนี้ได้ดี และมีการวัดผลที่ชัดเจน ทำให้ทุกธุรกิจต้องปรับตัว Tact จึงเห็นโอกาสที่นำพลังของคนรุ่นใหม่จะเข้ามาช่วยผลักดันเรื่อง Sustainability มากขึ้น
#วางตัวเองให้เป็น Consult Implement
แม็กบอกว่าสิ่งที่ Tact ต่างจากที่อื่น คือ สามารถรับลูกค้าได้หลากหลายจากการที่วางตัวเองให้เป็น Consult Implement กล่าวคือ Tact จะช่วยลูกค้าตั้งแต่ Concept Development เพื่อสร้างโปรเจกต์ทางสังคมที่ตรงกับความต้องการของบริษัท ในขณะที่สามารถสร้าง Impact กับสังคม ไปจนถึงการช่วยลูกค้าในการทำโปรเจกต์นั้นให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งหากเป็นบริษัทที่ปรึกษาต่างชาติรายใหญ่ๆ ก็จะเด่นด้านตัวชี้วัดและการทำกลยุทธ์ ส่วน NGO หรือมูลนิธิ ก็จะถนัดด้านการพัฒนาสังคมเป็นหลัก แต่ Tact วางตัวเองอยู่ตรงกลาง ที่สามารถทำเรื่องสังคมให้มี Impact และยังสื่อสารด้วยภาษาเดียวกับ Consult ที่เป็นเหมือนเพื่อนที่ทำงานร่วมกัน ในฐานะ Sustainability Partner เพื่อช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายดวามยั่งยืนได้
ธุรกิจของ Tact ในปัจจุบันมีรูปแบบการให้บริการ 4 รูปแบบ ได้แก่ ‘Camp’, ‘Social Case Competition’, ‘Campaign’ และ ‘Green Consulting’ ซึ่ง Tact ทำงานดูแลเรื่องโปรเจกต์และคิดแคมเปญต่างๆ ให้กับองค์กรในด้านสังคม ซึ่งทำให้ลูกค้าของ Tact สามารถส่งเสริมภาพลักษณ์ ในขณะที่ที่ตอบโจทย์ธุรกิจ และการช่วยเหลือสังคมไปพร้อมกัน
#แรงผลักดันและพื้นที่เปิดกว้างให้ตั้งเป้าหมาย
แม็กบอกว่าครอบครัวมีส่วนสำคัญในการผลักดันตั้งแต่เด็ก เวลาที่ทำเป้าหมายไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ได้สำเร็จ ก็จะให้กำลังใจ นั่นคือสิ่งที่เป็นพลังให้เขาอยากเติบโตขึ้นและกล้าที่จะลงมือทำ ซึ่งทุกวันนี้เราอาจจะรู้จักมันในชื่อ Growth Mindset
“ช่วงแรกที่ทำ Tact แม้จะเป็นเรื่องใหม่และรายได้ไม่แน่นอน แต่ครอบครัวก็สนับสนุนเพราะเชื่อว่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีและดีต่อสังคม แม้วันนี้เราจะอยู่ไกลจากจุดที่เรียกว่าประสบความสำเร็จ แต่เราก็เชื่อว่ายังอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องที่จะพาไปถึงได้”
ก่อนจะเริ่มทำธุรกิจ แม็กถามความเห็นจากคนที่โตกว่าหลายๆ คน รวมถึงพี่ผู้บริหารหลายท่านก็ให้คำแนะนำว่ายังอายุน้อยพอที่จะลองดังนั้นก็ต้องไปให้สุด วันนี้สิ่งที่เขาได้เรียนรู้และเชื่อเสมอคือคำว่าคนเราต้องมีพี่เลี้ยง เพราะคนที่มีประสบการณ์มาก่อนจะทำให้ได้เรียนรู้วิธีคิดจากพวกเขา ซึ่งช่วยในการก่อร่างสร้างธุรกิจของตัวเองได้ตั้งแต่วันแรก
“เราชอบในการที่มันจะมีพื้นที่โล่ง ที่เราสามารถตั้งเป้าหมายบางอย่างไว้ แล้วเราสนุกกับการวิ่งตามและผลักดันตัวเองให้ไปถึงจุดนั้น”
#เรียนจบใหม่แต่กล้าออกมาทำธุรกิจ
แม็กบอกว่าสำหรับน้องๆ ที่เพิ่งจบใหม่ หรือคนที่อายุน้อยแล้วอยากทำธุรกิจ ควรพิจารณาจากปัจจัยสำคัญ 4 เรื่องก่อนที่จะลงมือทำจริงๆ คือ
1) Self readiness – ความพร้อมของสิ่งรอบข้าง คือ เรามีภาระแค่ไหน การเงินเพียงพอหรือเปล่า
2) Team – ทีมคือสำคัญมาก โดยต้องมีคนที่เชี่ยวชาญในแต่ละด้านและคนที่มีความเชื่อเดียวกัน
3) Mentor – มีคนที่ให้คำแนะนำ
4) Passion – ถ้าเราจะทำธุรกิจเพื่อสังคม ก็ต้องมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า และลงมือทำให้จริงจัง
#อยากส่งต่อImpactให้แก่สังคม #Tactขยายทีม
สิ่งที่เราทราบมาคือ Tact มีวัฒนธรรมองค์กรที่รวมตัวคนที่คิดถึงสังคมและดีต่อกัน คล้ายกับนักกิจกรรมที่ทำงานร่วมกันกับเพื่อนๆ และที่สำคัญการลงแรงครั้งนี้ก็มีรายได้เลี้ยงเป็นอาชีพได้ด้วย
การทำงานที่เน้น Social Value Centric หรือการแวดล้อมไปด้วยคนที่อยากเห็นสังคมพัฒนาให้ดีกว่านี้และพร้อมจะสร้างการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง รวมถึง Strategic Approach ที่มีมาตรฐานการทำงานเป็นระบบและมีคุณภาพ เพราะการสร้างการเปลี่ยนแปลงคือเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง แม็กบอกว่า Tact เชื่อว่าการสร้างความยั่งยืนให้กับคนอย่างแท้จริงคือการได้ทำเพื่อสังคมด้วยและสร้างรายได้ไปด้วย นอกจากนี้ยังต้องมีโอกาสในการเรียนรู้และเปิดพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่
และสำหรับคนอยากทำงานในบรรยากาศแบบนี้และมีความสนใจธุรกิจเพื่อสังคม อยากเห็นสังคมที่พัฒนาและในขณะเดียวกันก็ได้รับผลตอบแทนด้วยซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจที่ตอบโจทย์กับการทำงานของคนรุ่นใหม่ สามารถกดที่ลิ้งก์รับสมัครนี้ได้เลย https://www.tact.in.th/career/
ใครสนใจอยากทำตำแหน่งพาร์ทไทม์หรืองานอาสาเพื่อสังคม สามารถเข้าร่วมกลุ่มเพื่อติดตามข่าวสารโปรเจคในอนาคตของ Tact ได้เลย
We are Tactster: https://www.facebook.com/groups/551386252227972
#อนาคตที่โตได้2ทาง
“สิ่งที่ Tact ยึดเป็นหลักมาเสมอคือการเชื่อว่าคนรุ่นเรามีคนเก่งที่หลากหลาย ดังนั้นคุณเดินมาด้วยไอเดียอะไรก็ได้ว่าอยากแก้ปัญหาเรื่องใดให้สังคม”
แม็กบอกว่าในด้านการทำงานกับ Tact ที่เป็น Consult Implement ทุกคนสามารถเติบโตในสายงานตั้งแต่ตำแหน่งงาน Project Assosiate, Project Manager จนถึง Super Advisor และ Director หรืออีกด้านหนึ่งถ้าอยากเป็นเจ้าของไอเดียแก้ปัญหาก็สามารถทำงานร่วมกันกับ Tact ได้เช่นกัน
ดังนั้นคนที่อยากเติบโตในอาชีพอยากเปลี่ยนแปลงสังคมก็อย่าลังเล เพราะ Tact มีความพร้อมและความมั่นคงในโมเดลที่เป็น Project-based ที่เน้นการทำโปรเจกต์และแคมเปญร่วมกับองค์กรต่างๆ และเป้าหมายอีกด้านคือการปั้น Product ขึ้นมาโดยเกี่ยวข้องกับเรื่อง ESG / Sustainability ซึ่งอยู่ในกระบวนการคิดและพัฒนาให้เกิดขึ้นในอนาคต โดยคนที่สนใจพื้นที่ที่เปิดโอกาสในการหาทางออกกับปัญหานี่คงเป็นโอกาสที่ดีมากๆ
#บทเรียนที่อยากฝากคือวิ่งเข้าหาโอกาสไม่ใช่ตั้งรับโอกาส
คำแนะนำที่แม็กส่งอยากต่อถึงน้องๆ ที่กำลังเรียนหรือคนรุ่นใหม่ๆ ที่อาจจะเริ่มทำงานไม่นาน คือเรื่องของการ Proactive คือ วิ่งเข้าหาโอกาส ไม่ใช่ตั้งรับโอกาส ลงมือทำในสิ่งที่เราสนใจ อาจจะหากลุ่มเพื่อนที่สนใจเรื่องเดียวกัน แต่หากลองทำแล้วรู้สึกว่ายังไม่ใช่ ก็เบนเข็มในทางใหม่ๆ ได้ แต่อย่ากลัวกับการทดลองทำ ซึ่งนำมาสู่อีกสิ่งที่แม็กแนะนำคือการ Connecting the dots หรือการหาจุดเชื่อมจากหลายๆ สิ่งที่ลองทำให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือบทเรียนต่างๆ เพื่อทำให้เราปรับใช้ได้และเข้าใกล้กับจุดหมายที่เราตั้งไว้
“อยากจะทำอะไรก็ต้องลองลงมือทำ การเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่ดี กลุ่มคนที่ถูกต้องและสภาพแวดล้อมที่ถูกต้อง จะช่วยเราไปเกินครึ่งแล้วในการทำงาน” แม็กกล่าวทิ้งท้าย
Personal Branding คืออะไร? สื่อสารอย่างไร? ในวันที่ตัวตนสำคัญกว่าตัวแบรนด์

FacebookFacebookXXLINELine‘แบรนด์’ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำธุรกิจ แต่หากเราพูดถึงการสร้างแบรนด์ในปัจจุบัน Personal Branding จะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนให้ความสนใจ และให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆแต่เมื่อพูดถึง Personal Branding…