ศุภเสฏฐ์ ชูชัยศรี: เริ่มจากไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรสู่การทำงานองค์กรใหญ่ระดับโลก

Home » Career Fact » Interview » ศุภเสฏฐ์ ชูชัยศรี: เริ่มจากไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรสู่การทำงานองค์กรใหญ่ระดับโลก

Career Fact จะมาเล่าเรื่องราวของ ‘พี่ปิง’ เด็กที่เริ่มจากไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรสู่การทำงานองค์กรใหญ่ระดับโลกอย่าง Facebook

เรียนที่ไทยทำไมไปทำงานต่างประเทศ? ทำไมถึงลาออกจากบริษัทของตัวเองที่สร้างมากับมือ? คนต่างชาติกดพนักงานเอเชียจริงไหม? มาหาคำตอบพร้อมกันได้ที่นี

วัยเด็ก

พี่ปิงเล่าว่าไม่เคยรู้จักอาชีพนี้เลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าอาชีพนี้ทำอะไร ตอนเด็กเป็นเด็กกิจกรรมมากๆ วันๆแค่เรียน ทำหน้าที่ประธานนักเรียน ทำกิจกรรม เวลาก็หมดเเล้ว

แต่บังเอิญว่าตอนสอบเข้าได้คะแนนสูง ก็เลยเลือกเข้าวิศวะคอม เหตุผลที่เข้าวิศวะคอมก็ไม่ใช่เพราะชอบเรื่องคอมเป็นพิเศษ แต่เพราะชอบเล่นเกมมากขนาดที่เคยแข่งเกม StarCraft และชอบทำ presentation ต่างๆ

พอเปรียบเทียบกับเพื่อนๆ ที่ตั้งใจเข้ามาสายเขียนโปรแกรมโดยตรงจึงคิดว่าตัวเองน่าจะเลือกมาผิดทางเพราะไม่ได้ชอบเรื่องคอมขนาดนั้น

จุดที่ทำให้มั่นใจว่าเราชอบซอฟต์แวร์แน่ๆ

ช่วงขึ้นปี 2 มีวิชาเขียนซอฟต์แวร์ ตอนนั้นจับทีมกับเพื่อนทำเกม Bomberman พอทำออกมาก็รู้สึกว่าได้เขียนซอฟต์แวร์ให้มันออกมาเป็นชิ้นเป็นอันก็สนุกดี เลยเริ่มสนใจในสาขาที่เรียนมากขึ้น

หลังจากนั้นจึงลองไปแข่งรายการ Dtac & Nokia Dot Awards ถึงจะไม่ชนะแต่ก็เข้าถึงรอบสุดท้าย หลังจากนั้นเลยรู้แล้วว่าเรามาถูกทางแน่ๆ เพราะสนุกไปกับมันมากขึ้น แล้วก็เริ่มศึกษาด้วยตัวเองเพิ่มเติม

เลือกเรียนวิศวะคอมพิวเตอร์ทั้งสามใบ

ตอนช่วงเรียนปริญญาตรีปี 3 ได้เจอโครงการเรียนตรีควบโท คือได้ปริญญา 2 ใบภายใน 5 ปี เลยสนใจที่จะเรียนปริญญาโทเพิ่มอีกใบ

พี่ปิงเล่าว่าช่วงทำ Research Project ตอนปี 3 ได้ลองศึกษาดูหัวข้อที่จะทำวิจัยแล้วได้ไปเจอกับหัวข้อ เทรนด์เทคโนโลยีที่จะมาเปลี่ยนโลก เรื่อง Wireless Sensor Network เป็นเรื่องของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ชิ้นเล็กที่สามารถเชื่อมต่อกันโดยไร้สาย พลังงานต่ำ และไม่มีอะไรควบคุม (สิ่งนี้จะต่อยอดมาเป็นอุปกรณ์ IoT หรือ Internet of Things ในปัจจุบัน) พี่ปิงมองว่าเรื่องนี้น่าสนใจเลยเลือกทำเป็น Research Project ปี 3 และต่อยอดมาเป็น Senior Project ในปี 4 พอยิ่งศึกษาลึกๆ ก็ยิ่งชอบ พี่ปิงจึงปรึกษาอาจารย์ว่าอยากจะเรียนต่อปริญญาโทด้านนี้

ช่วงจะจบปริญญาตรีและกำลังจะเรียนต่อปริญญาโท พี่ปิงเห็นเพื่อนทำ Senior Project ใน Lab Robotics เรื่องการควบคุมทิศทางการมองเห็นของหุ่นยนต์โดยใช้ลายตารางหมากรุกบนกระดาษ (ที่จะต่อยอดเป็นเทคโนโลยี AR หรือ Augmented Reality ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นอะไรที่ใหม่มากในตอนนั้น จึงคิดอยากเปิดบริษัทกับเพื่อนไปพร้อมๆ กับเรียนปริญญาโท เป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับเทคโนโลยี AR เช่น ทำสื่อสารสอน อย่างโมเดลฟันสำหรับคณะทันตแพทยศาสตร์ ทำ AR โมเดลบ้านให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

ตอนที่ทำบริษัทเขาได้ประสบการณ์กลับมาเยอะมาก พี่ปิงเล่าว่าครั้งหนึ่งเคยรับงาน Consult ให้กับหน่วยงานราชการ ตอนนั้นบริษัทเขาดูแลระบบทั้งหมดขององค์กร ทั้งเขียนเว็บ ตรวจสอบฮาร์ดแวร์ ทำจัดซื้อ แก้ไวรัส ลงโปรแกรม พูดได้ว่าทำครบทุกอย่างจริงๆ เลยได้เรียนรู้เรื่องระบบขององค์กรมากขึ้น

พอมาช่วงเรียนปริญญาโท เขาก็มีโอกาสได้ศึกษางานวิจัยหลายเล่ม แล้วก็นึกสงสัยว่าทำไมไม่มีชื่อมหาวิทยาลัยในไทยตีพิมพ์งานวิจัยในวารสารด้านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระดับโลกบ้าง และอยากช่วยผลักดันให้มันเกิดขึ้น เลยคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อเรียนต่อปริญญาเอกในเรื่องเดิมต่อไป จนในที่สุดพี่ปิงก็สามารถตีพิมพ์งานวิจัยระดับโลกตามที่คาดหวังได้สำเร็จ และงานวิจัยที่เขาภูมิใจที่สุดคือการได้ตีพิมพ์ในวารสาร ACM SIGCOMM CCR เพราะเป็นวารสารงานวิจัยที่เน้นเรื่องการคิดค้นไอเดียใหม่ นักวิจัยที่มีชื่อเสียง และหลายๆงานวิจัยที่ได้รางวัล “ACM SIGCOMM Test of Time Paper Award” ก็ตีพิมพ์ที่วารสารนี้

คิดจะเรียนต่อปริญญาโทและปริญญาเอกที่ต่างประเทศบ้างไหม

พี่ปิงบอกว่าไม่เคยมีความคิดที่จะเรียนต่อต่างประเทศเลยแม้ที่บ้านจะสนับสนุนก็ตาม

เหตุผลคือ เขาเปิดบริษัทในไทยไปแล้วถ้าเรียนต่อต่างประเทศไปพร้อมกันอีกก็คงจะลำบาก ส่วนช่วงปริญญาเอกก็มุ่งมั่นว่าจะตีพิมพ์งานวิจัยในชื่อของมหาวิทยาลัยไทยเท่านั้น ที่สำคัญคือตอนเรียนเขาโชคดีที่ได้อาจารย์ที่ปรึกษาที่เก่งมาก พอได้อาจารย์ท่านนี้เป็นที่ปรึกษาพี่ปิงจึงมีความมั่นใจว่าอาจารย์จะผลักดันให้เขาไปไกลได้อย่างแน่นอน สุดท้ายเขาเลยตัดสินใจเรียนปริญญาเอกที่ประเทศไทย

จุดเปลี่ยนที่ทำให้ออกจากบริษัทที่สร้างมากับมือ

“ตลกมากครับตอนนั้น” พี่ปิงตอบ

หลังจากแต่งงานแล้วและดูแลบริษัทมาเข้าปีที่ 11 ภรรยามีความฝันว่าอยากลองใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ และก็อยากให้พี่ปิงพัฒนาศักยภาพตัวเองและเปิดมุมมองในต่างประเทศมากขึ้น เขาเลยต้องคิดจริงจังว่าจะเอาบริษัทเดิมไปทำต่อต่างประเทศหรือจะเปิดบริษัทใหม่ที่ต่างประเทศไปเลย แต่คำตอบคือทั้งสองทางเป็นไปได้ยากมากๆ เพราะไปต่างประเทศไม่มีคอนเนคชั่นอะไรเลย ไม่รู้จักใครเป็นพิเศษ เขาจึงเลือกที่จะสมัครงานแทน แต่ก็ต้องเลือกบริษัทที่ดีและมีแนวโน้มที่จะก้าวหน้าในอนาคต ซึ่งสุดท้ายก็ได้เข้าทำงานที่ Facebook สิงคโปร์

ช่วงที่ออกมาจากบริษัท สถานะของบริษัทคือเติบโตแบบช้าๆ แต่มีรายได้เข้ามาจากหลายทาง เขายอมรับว่ารู้สึกเสียดายที่ออกมาตอนนั้น เนื่องจากตอนนั้นบริษัทกำลังร่วมลงทุนกับบริษัทหนึ่งอยู่ โดยที่ผู้บริหารบริษัทที่จะร่วมลงทุนด้วยเป็นคนที่เก่งมากๆ

แต่ก็อยากจะลองใช้ชีวิตในต่างประเทศดูสักครั้งในชีวิต ถ้าไม่ตัดสินใจออกมาในตอนนั้นก็คงจะอยู่ประเทศไทยตลอดชีวิตไปแล้ว แต่พี่ปิงก็ยังย้ำอีกครั้งว่าเสียดายมาก ถึงตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกอยากทำที่บริษัทของตัวเองอยู่

ตอนที่ไปทำงานที่สิงคโปร์ได้อะไรบ้าง

พี่ปิงทำตำแหน่ง Solutions Engineer เป็นลูกผสมระหว่าง Software Engineer กับ Technical Consultant เนื้องานคือทำให้ธุรกิจของลูกค้าเติบโตได้ด้วยการใช้เทคโนโลยี ถ้าเทคโนโลยีไม่พร้อมก็สร้างซอฟต์แวร์มาเพื่อช่วยเสริม

โอกาสเข้ามาแบบไหนถึงได้ย้ายงานจากสิงคโปร์มาอเมริกา

ช่วงที่พี่ปิงทำงานอยู่ที่สิงคโปร์ก็ได้คุยกับผู้จัดการไว้ว่าถ้ามีโอกาสก็อยากลองไปทำงานที่อเมริกา และบริษัท Facebook เป็นบริษัทที่สนับสนุนให้คนย้ายตำแหน่งงานภายในบริษัทอยู่แล้ว ช่วงนั้นบังเอิญว่าสำนักงานที่ New York มีตำแหน่งว่างพอดี ผู้จัดการเลยมาแนะนำ พี่ปิงก็สมัครตามขั้นตอนจนได้งาน เลยได้ย้ายมาที่อเมริกาในครั้งนั้น

มีแรงกดดันขนาดไหนตอนที่ย้ายบริษัทจากสิงคโปร์มาที่อเมริกา

พี่ปิงเล่าว่าบริษัทต่างชาติสนับสนุนให้เราเติบโตเต็มที่ เพราะตอนคัดคนเข้ามาก็โหดมากแล้วถ้าผ่านจุดนั้นมาได้ คนที่มีความสามารถก็ควรที่จะเติบโต

แต่ก็มีจุดที่พี่ปิงกังวลเหมือนกันคือเรื่องภาษา โดยเฉพาะการพูดและฟัง ช่วงที่ย้ายไปใหม่ๆ มีครั้งนึงที่ประชุมให้พี่ปิงแนะนำตัวเองแต่พี่ปิงฟังไม่เข้าใจ เพราะไม่คุ้นชินกับสำเนียง พี่ปิงเลยพยายามศึกษาภาษาเพิ่มเอาทุกคืน เรียนอยู่ประมาณ 2 ปี ก็ทำให้การสื่อสารลื่นไหลมากขึ้น

11 ปีของการทำบริษัทของตัวเองกับการทำงานในบริษัทใหญ่แตกต่างกันขนาดไหน

“ต่างกันเยอะเหมือนกันครับ” พี่ปิงกล่าว

เพราะการทำบริษัทใหญ่ทุกคนมีความเป็นมืออาชีพมากๆ ทุกอย่างเป๊ะไปหมด ต้องคอยประชุมกับหลายทีมไม่ใช่แค่ทีมตัวเอง และที่ต่างที่สุดคือความพยายามทำให้ทุกงานมี impact ที่สุดและวัดผลได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้

ประสบการณ์การเรียนที่ไทยไปทำงานที่ต่างประเทศ

ทำงานในบริษัทต่างชาติ ถึงเราจะเป็นคนเอเชียแต่ถ้าเราตั้งใจจนสามารถพิสูจน์ความสามารถของเรากับคนต่างชาติได้ เค้าก็จะยอมรับเรา

พี่ปิงบอกว่าคำพูดที่ว่า “คนไทยที่ไปทำงานบริษัทต่างชาติจะโดนกด คำพูดนี้ไม่จริง” เพราะพี่ปิงก็พิสูจน์เองกับตัวเเล้วว่าคนไทยก็สามารถเติบโตในบริษัทระดับโลกได้

อยากทำงานต่างประเทศต้องเรียนจบต่างประเทศจริงเสมอไปไหม?

ถ้าจะทำงานที่อเมริกาก็จำเป็นต้องใช้วีซ่าสำหรับทำงานโดยเฉพาะ ซึ่งกว่าจะได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญส่วนใหญ่เลยแนะนำว่าให้ไปเรียนที่อเมริกาเพราะเรียนจบมาจะได้วีซ่าทำงานทันที แต่พี่ปิงก็พิสูจน์แล้วว่าเรียนที่ไทยก็สามารถมาทำงานที่อเมริกาได้

พี่ปิงมีความเชื่อว่า เราไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่ที่คนอื่นบอกว่าต้องอยู่ถึงจะประสบความสำเร็จ เพราะตัวพี่ปิงเองก็ไม่ได้เรียนมาในโรงเรียนชื่อดังอะไร แต่ก็สามารถเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำได้ ไม่ได้เรียนต่อต่างประเทศก็สามารถตีพิมพ์งานวิจัยระดับโลกได้ และสุดท้ายคือจบมหาลัยไทยก็ทำงานบริษัทชั้นนำระดับโลกได้ เราต้องมั่นใจในความเชื่อของตัวเอง แล้วพิสูจน์ให้มันเป็นจริงให้ได้

วางแผนอนาคตในอีก 5-10 ปีข้างหน้า

พี่ปิงมองไว้สองทาง ทางแรกอยากทำสตาร์ทอัพ โดยอาจจะกลับมาทำบริษัทเดิมที่เคยร่วมก่อตั้งหรือไม่ก็ทำบริษัทใหม่ อีกทางนึงคือเนื่องจากรู้สึกว่ามีคนไทยที่ประสบความสำเร็จในองค์กรใหญ่ๆในอเมริกา มีน้อยมาก เลยอยากทำที่ Facebook ต่อไปเพื่อพิสูจน์ว่าจะไปได้ไกลขนาดไหน

Balanceชีวิตคู่และชีวิตการทำงาน

พี่ปิงมีเป้าหมายที่อยากให้ทุกวันมีความสุข และทุกวันจะมีความสุขได้ก็ต่อเมื่อคนข้างๆ มีความสุขด้วย เขาจึงตั้งใจว่าต้องหาจุดที่สามารถมีความสุขด้วยกันทั้งคู่ได้ ตอนที่จะย้ายจากสิงคโปร์ไปอเมริกาเป็นช่วงที่พี่ปิงกำลังจะได้เลื่อนตำแหน่ง ถ้าย้ายไปอเมริกาก็ต้องเริ่มต้นงานใหม่ แต่ภรรยาจะมีความสุขมากเพราะได้ย้ายไปอยู่ New York ซึ่งเป็นเมืองในฝันที่อยากไปใช้ชีวิต และที่สำคัญคือภรรยาก็มั่นใจว่าพี่ปิงสามารถเลื่อนตำแหน่งได้แน่นอนไม่ว่าอยู่ที่ไหน เลยตัดสินใจที่จะย้ายมาที่อเมริกา สุดท้ายจากความตั้งใจและความพยายามก็ทำให้ได้เลื่อนตำแหน่งในบริษัทใหม่จนได้

อยากบอกอะไรกับตัวเองในอดีต

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้อยากจะเปิดมุมมองของตัวเองให้มากขึ้น อยากเห็นอาชีพต่างๆมากขึ้น โตมาเลยจัดตั้งสมาคมโปรแกรมเมอร์ไทยขึ้นเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับอาชีพนี้กับเด็กๆ เหมือนเป็นการให้ของขวัญตัวเองในวัยเด็กไปด้วย

จริงๆ ในชีวิตพี่ปิงก็รู้สึกว่ามีสิ่งที่เสียดายเหมือนกัน เช่น ก่อนทำบริษัทตัวเองน่าจะลองทำในบริษัทใหญ่ๆ ดูก่อนจะได้เห็นมุมมองที่กว้างขึ้น ถ้าตอนนั้นมีความรู้และประสบการณ์มากเท่าตอนนี้ เขาคงพาบริษัทไปได้ไกลกว่าเดิมมาก

หาความชอบของเราให้เจอ ทำทุกอย่างออกมาให้ดีที่สุด ให้มีผลงานที่เรามองกลับมาเมื่อไหร่เราก็จะภูมิใจกับมันเสมอ

พี่ปิงกล่าวทิ้งท้าย

สูตรความสำเร็จกับ "ที่สุด" ของประเทศ

คอร์สออนไลน์กับผู้บริหาร ผู้นำทางความคิด แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน