รวิสรา เวชากร: ทายาทบริษัทยูโรเปี้ยนฟู้ด จำกัด ผู้มาพร้อมกับความกล้าคิด และกล้าลงมือทำ

Home » Career Fact » Interview » รวิสรา เวชากร: ทายาทบริษัทยูโรเปี้ยนฟู้ด จำกัด ผู้มาพร้อมกับความกล้าคิด และกล้าลงมือทำ

เธอคือตัวแทนนักกีฬาขี่ม้าทีมชาติไทย เธอคือผู้ที่ทำให้มีปีโป้สีเดียวขายอยู่ตามท้องตลาด และเธอคือผู้ที่ทุ่มเทกับทุกสิ่งที่เธอทำ

วันนี้ Career Fact ขอนำเสนอเรื่องราวของ ‘ซี’ รวิสรา เวชากร ทายาทบริษัทยูโรเปี้ยนฟู้ด จำกัด ผู้มาพร้อมกับความกล้าคิด และกล้าลงมือทำ เพราะประสบการณ์สอนให้เธอได้รู้ว่าการผิดพลาดระหว่างทางนั้นไม่เป็นไร หากมันจะพาเธอไปสู่ความสำเร็จในอนาคต

ชีวิตในวัยเด็กของรวิสรา

ในช่วงวัยเด็ก คุณซีเล่าว่าเธอไม่ได้มีความฝันอะไรเป็นพิเศษนอกจากการทำธุรกิจของตัวเอง เพราะเธอได้ซึมซับ และเห็นที่บ้านทำธุรกิจมาโดยตลอด แต่ในช่วงวัยเรียน เธอใช้เวลาส่วนมากไปกับการเล่นกีฬา ไม่ว่าจะเป็นเรือใบ ขี่ม้า ว่ายน้ำ บาสเก็ตบอล หรือฟุตบอล

กิจวัตรประจำวันของเธอตอนนั้นหมดไปกับกีฬา โดยตอนเช้า เธอต้องมาโรงเรียนก่อนเพื่อนเพื่อซ้อมว่ายน้ำ และกลับบ้านช้ากว่าเพื่อนเพื่อซ้อมบาสเก็ตบอลและฟุตบอล

เธอมองว่าการเล่นกีฬาคืองานอดิเรกอย่างหนึ่ง และโรงเรียนก็ได้ให้การสนับสนุนทางด้านกีฬาเป็นอย่างดีจนเธอมักได้โอกาสไปแข่งขันที่ต่างประเทศในนามโรงเรียนอยู่บ่อยๆ

จุดเริ่มต้นการขี่ม้า

คุณซีสนใจการขี่ม้าเพียงเพราะดูซีรี่ส์แล้วรู้สึกว่าเท่ดี และอยากขี่เป็น จึงได้ขอคุณแม่ไปเรียนขี่ม้า เมื่อเรียนไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าการขี่ม้านั้นเหมือนงานอดิเรก และได้มารู้ในภายหลังว่าการขี่ม้านับเป็นกีฬาประเภทหนึ่ง

เมื่อคุณซีได้ดูคลิปของเหล่านักกีฬาขี่ม้าระดับท็อป เธอก็รู้สึกอยากที่จะเป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันบ้าง จึงตัดสินใจลงเรียนกีฬาขี่ม้าประเภทเดรสสาจ (Dressage) หรือ ศิลปะบังคับม้า ซึ่งผู้บังคับม้าจะต้องทำท่าทางโชว์ลีลาคล้ายยิมนาสติก

ถึงแม้คุณซีจะใช้เวลาไปกับการซ้อมขี่ม้า แต่เธอก็ยังไม่ทิ้งการเรียน เธอเล่าว่าโรงเรียนนั้นให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี โดยหลายๆ วิชาจะให้การบ้านทางออนไลน์ และให้หยุดได้ในกรณีต้องไปแข่งขันที่ต่างจังหวัด เธอบอกว่าเหนื่อยนะ แต่ก็สนุกดี

จุดเปลี่ยนนักกีฬาขี่ม้าทีมชาติ

หลังจากที่คุณซีได้แข่งขันภายในประเทศมาเป็นเวลาปีกว่า เธอรู้สึกว่าตัวเองก็มีผลงานอยู่พอตัวจากการเข้าแข่งขันในหลายๆ สนาม รวมไปถึงการแข่งขันที่สหพันธ์กีฬาขี่ม้านานาชาติจัดขึ้น จึงตัดสินใจเดินหน้าเตรียมเข้าคัดตัวนักกีฬาขี่ม้าทีมชาติเพื่อแข่งขันในเอเชียนเกมส์ 2014

แต่กว่าจะพร้อมไปคัดทีมชาตินั้นไม่ง่ายเลย เพราะเมื่อการซ้อมเริ่มหนัก และจริงจังขึ้น เธอต้องตัดสินใจดร็อปจากโรงเรียนตอน Year 13 เทอม 2 เพื่อไปเก็บตัวที่ประเทศฝรั่งเศส และฮอลแลนด์

เก็บตัวต่างประเทศเพื่อพัฒนาการที่ก้าวกระโดด

คุณซีเล่าว่ากีฬาขี่ม้าคือการเก็บชั่วโมงบิน และไม่มีการจำกัดอายุ โดยคนส่วนมากที่เข้าคัดทีมชาตินั้นอายุประมาณ 30-40 ปี และมีประสบการณ์การขี่ม้ามามากกว่าเธอทั้งนั้น เธอจึงต้องไปหาโค้ชเก่งๆ ที่ประเทศแถบยุโรปมาช่วยฝึกซ้อม ทั้งยังต้องฝึกซ้อมหนักกว่าคนอื่น เช่น หากคนอื่นซ้อมขี่ม้าวันละ 2 ตัว เธอต้องซ้อมขี่ม้าวันละ 4 ตัว เป็นต้น เพราะเป้าหมายของเธอคืออยากติดเป็นหนึ่งในตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันในเอเชียนเกมส์ 2014

เหตุผลที่ทำให้คุณซีต้องไปเก็บตัวถึงยุโรปนั้นคือ เนื่องด้วยกีฬาขี่ม้าเป็นกีฬาโซนยุโรป ทำให้โค้ช สนาม อุปกรณ์ และเครื่องมือต่างๆ ที่ยุโรปนั้นพร้อมกว่า อีกทั้งที่ต่างประเทศจะมีจัดการแข่งขันทุกสัปดาห์ ในขณะที่ไทยจะจัดเพียงเดือนละครั้ง ทำให้ตอนไปอยู่ที่ต่างประเทศ คุณซีได้มีโอกาสลงแข่งขันบ่อยขึ้น และสามารถพัฒนาตัวเองได้เร็วยิ่งขึ้น เพราะการจัดการแข่งขันทุกสัปดาห์นั้นแปลว่าเธอมีเวลาซ้อมเพียง 5 วันเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันนั้นๆ

ในช่วงนั้น เธอต้องซ้อมวันละ 4 ชั่วโมง และใช้ชีวิตอยู่ในคอกม้าทั้งวัน เพราะนอกจากการซ้อมแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมากๆ คือการดูคนอื่นซ้อมเพื่อเก็บทริคต่างๆ ว่าเขาทำกันอย่างไร หากเจอปัญหาอย่างนี้ต้องจัดการอย่างไร เป็นต้น ซึ่งเธอใช้ชีวิตอยู่แบบนี้เป็นเวลาประมาณครึ่งปีก่อนกลับมาเข้าแข่งขันเอเชียนเกมส์ 2014 และซีเกมส์ 2015

แม้จะซ้อมมาอย่างหนัก การคัดตัวนั้นก็ไม่ได้ง่าย เพราะเธอต้องบินไปคัดตัวที่ต่างประเทศเพื่อแข่งขันกับคนไทยด้วยกันเอง และคนชนะจะได้เป็นตัวแทนประเทศเข้าแข่งขันต่อไป

คุณซีเล่าให้ฟังว่าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เล่นกีฬาขี่ม้าประเภทเดี่ยวแข็งๆ นั้นได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ส่วนประเทศไทยจะเก่งการเล่นเป็นทีมมากกว่าเพราะประเทศไทยมีทรัพยากรคนมากพอที่จะสร้างขึ้นมาเป็นทีม ในขณะที่สามประเทศนั้นจะเน้นการเล่นเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่

ขี่ม้าต่อหรือเข้ามหาวิทยาลัย

หลังช่วงเอเชียนเกมส์ในปี 2014 คุณซียอมรับว่าถึงแม้จะเห็นเพื่อนเริ่มเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว แต่ตอนนั้นไม่ได้มีความคิดว่าจะต้องเข้ามหาวิทยาลัยเลย เพราะคิดจะขี่ม้าเพียงอย่างเดียว เธอจึงเดินหน้าเข้าแข่งขันซีเกมส์ต่อในปี 2015

อย่างไรก็ดี หลังซีเกมส์จบ เพื่อนๆ รุ่นคุณซีเริ่มมีมหาวิทยาลัยเรียนกันแล้ว เธอจึงเริ่มคิดว่าควรกลับมาเรียนต่อได้แล้ว ไม่ใช่คิดเพียงแต่จะขี่ม้า เธอจึงตัดสินใจสอบเข้าที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี (ภาคอินเตอร์) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยใช้คะแนน IGCSE ที่เก็บไว้ตั้งแต่ Year 11 ยื่นพร้อมกับคะแนน SAT ที่สอบเพียงรอบเดียวในเดือนธันวาคมปี 2015

ณ วันที่สอบติดจุฬาแล้ว คุณซีไม่ได้ล้มเลิกความคิดการขี่ม้าแต่อย่างใด เพราะคิดว่าตัวเองยังสามารถไปซ้อมขี่ม้าหลังเลิกเรียนได้อยู่

แต่ถึงแม้คุณซีจะไปซ้อมทุกวัน การซ้อมในประเทศไทยนั้นไม่ได้หนักเท่าตอนซ้อมที่ต่างประเทศ ทำให้ฝีมือการขี่ม้าของคุณซีในช่วงนั้นไม่ได้พัฒนาขึ้นแม้แต่น้อย และเธอก็ไม่สามารถบินไปซ้อมที่ต่างประเทศได้เหมือนเคย อีกทั้งเธอได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาของมหาวิทยาลัยจนต้องใส่เฝือกนานถึง 6 เดือน และไม่สามารถขี่ม้าได้ ท้ายที่สุดเธอจึงตัดสินใจไม่ไปต่อกับกีฬาขี่ม้า

ชีวิตในรั้วมหาลัยคณะสายธุรกิจ

คุณซีเล่าว่าตัวเองตั้งใจจะเข้าคณะนี้ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะคิดว่าตัวเองน่าจะเหมาะกับคณะด้านธุรกิจ บวกกับการที่เห็นทุกคนที่บ้านทำธุรกิจมาตั้งแต่เด็ก จึงเป็นเหมือนแรงบันดาลใจเล็กๆ ที่ทำให้เธอเลือกที่จะเดินเส้นทางนี้ อีกทั้งที่บ้านก็อยากให้ได้เรียนในสิ่งที่สามารถมาช่วยสานต่อธุรกิจครอบครัวได้

ชีวิตมหาวิทยาลัยของคุณซีนั้นวนอยู่กับการเรียน และการแข่งเคสทางธุรกิจ ซึ่งเมื่อมาทางสายการแข่งเคสแล้ว คุณซีก็ได้ทุ่มเทเวลา และโชว์ศักยภาพของเธอจนได้ไปแข่งขันเคสธุรกิจที่ต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง

กลับมาช่วยธุรกิจที่บ้าน

หลังจากเรียนจบจากจุฬา คุณซีก็ได้กลับมาช่วยธุรกิจของที่บ้าน ซึ่งตอนนั้นคุณพ่อไม่ได้มีเป้าหมายอะไรให้เธอ เพียงแค่อยากให้เธอได้เข้ามาเรียนรู้ขั้นตอนการทำงานของบริษัท แต่หากมีอะไรที่อยากพัฒนาหรือปรับเปลี่ยน คุณพ่อก็พร้อมสนับสนุนเต็มที่

ตอนที่เข้าไปทำงาน ระบบของบริษัทนั้นเก่าแก่มาก โดยมีวันทำงาน 6 วัน เข้างานตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ทุกคนจะต่างคนต่างทำงาน ทำให้บรรยากาศการทำงานนั้นค่อนข้างเงียบ และเป็นทางการ

ในช่วงแรก คุณซีได้ทำงานฝ่ายจัดซื้อเป็นงานหลัก แต่ก็ทำงานฝ่ายขายออนไลน์ควบคู่ไปด้วย ซึ่งการขายออนไลน์ถือเป็นงานที่คุณซีได้ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทเป็นอย่างมาก เนื่องจากทางบริษัทพยายามขายออนไลน์มาสักพักแล้ว แต่ไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาได้

เทรนด์ปีโป้สีเดียว

วันหนึ่งคุณซีเห็น #saveปีโป้ม่วง ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ เธอจึงเข้าไปอ่านแล้วพบว่ามีคนจำนวนมากที่ชอบทานปีโป้เพียงสีเดียวจากปกติที่ทางบริษัทจะขายห่อละ 5 สี เธอเล็งเห็นโอกาส และตัดสินใจผลิตปีโป้ห่อละสีเดียวตามกระแสที่กำลังมาแรงออกมาขายผ่านทางออนไลน์ ซึ่งเธอสามารถทำยอดขายได้สูงถึง 10,000 กล่องภายในหนึ่งวัน ในขณะที่เธอมีสต๊อกในมือเพียง 300 กล่องเท่านั้น

ทุกแผนกในบริษัทล้วนวุ่นกับยอดขายของเธอ และเนื่องจากการขายนั้นเป็นการขายผ่านทาง Shopee และ Lazada ซึ่งต้องทำการจัดส่งภายใน 2 วัน ฝ่ายผลิตจึงต้องทำการหยุดผลิตสินค้าชนิดอื่นเพื่อมาผลิตปีโป้สีเดียวให้คุณซี และสำหรับฝ่ายบัญชีที่จากเดิมเคยทำเพียงรับเช็ควางบิล ก็ต้องปรับตัวมาทำธุรกรรมผ่านทางออนไลน์ทั้งหมด

นอกจากนี้ เนื่องด้วยโรงงานผลิตสินค้าตั้งอยู่ที่จังหวัดปราจีนบุรี ทำให้คุณซี ซึ่งทำงานอยู่ที่สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ มีพนักงานแพ็คของ คลังที่เก็บของ และรถขนของไม่เพียงพอ พนักงานผู้จัดการตำแหน่งใหญ่ๆ จึงต้องลงมาช่วยเธอแพ็คสินค้า และยืมรถขนของของคนอื่นมาให้ใช้ก่อนเพื่อรองรับออเดอร์ที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่คาดคิด

แม้ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ทุกคนในบริษัทก็พร้อมยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือ และสนับสนุนกันเป็นอย่างดี

ในปัจจุบัน ปีโป้สีเดียวยังคงมีขายอยู่ตามออนไลน์ และมีการออกรสชาติใหม่ๆ มาอยู่เสมอเพื่อสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าที่ตั้งขายอยู่ตามร้านค้าทั่วไป ทั้งยังเพื่อดึงดูดให้ลูกค้ามาใช้บริการการขายออนไลน์ของบริษัท และถึงแม้คุณซีจะสร้างยอดขายได้ในครั้งนั้น แต่เธอยังพร้อมเรียนรู้ และรับฟังคำแนะนำจากผู้จัดการแต่ละแผนกอยู่เสมอ จึงถือได้ว่าพนักงานทุกคนพร้อมที่จะช่วยกันพัฒนาบริษัทไปข้างหน้าอย่างแท้จริง

เป้าหมายต่อไป

สำหรับตัวบริษัท คุณซีบอกเราว่าเป้าหมายหลัก คือ การหาวิธีการที่ทำให้การขายออนไลน์สามารถเติบโตได้ เพราะแต่เดิมนั้น สินค้าของยูโรเปี้ยนฟู้ดเริ่มมาจากการขายส่ง จนพัฒนามาตั้งขายตามห้างสรรพสินค้า และตอนนี้ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในตลาดออนไลน์มากขึ้นแล้ว จึงต้องคิดค้นหาวิธีที่จะทำให้มันสามารถเติบโตผ่านช่องทางนี้ได้ต่อไป

บทเรียนชีวิตที่หล่อหลอมรวิสรา

สำหรับคุณซีแล้ว การที่เธอเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนไทย โรงเรียนอินเตอร์ การเล่นกีฬาหลากประเภท การไปซ้อมและเข้าแข่งขันกีฬาที่ต่างประเทศ และการพบเจอคนหลากหลายเชื้อชาติ ทำให้เธอได้เรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมนั้นๆ และกลายเป็นคนที่สามารถอยู่ในสถานการณ์แบบไหนก็ได้

นอกจากนี้ การเล่นกีฬาและการแข่งขันเคสธุรกิจยังสอนให้เธอรู้จักการอดทน และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ถาโถมเข้ามา ประสบการณ์การแข่งขันทั้งชนะและแพ้ทำให้เธอได้รู้จักการรับมือกับความผิดพลาด ความผิดหวัง และสอนเธอว่าคนเราสามารถที่จะล้ม ที่จะแพ้ได้ เพราะนั่นไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต

หากเราแพ้ในวันนี้ เราเพียงแค่นำมันมาเป็นบทเรียน และสะสมประสบการณ์เพื่อเดินหน้าไปชนะในวันข้างหน้าต่อไป

สูตรความสำเร็จกับ "ที่สุด" ของประเทศ

คอร์สออนไลน์กับผู้บริหาร ผู้นำทางความคิด แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน