‘คุณปุ้ย – กัลยาณี สุขษาสุณี’ คืออดีตทันตแพทย์ที่เคยทำงานในโรงพยาบาลควบคู่กับการเขียน จนทุกวันนี้เธอลาออกจากราชการเพื่อมาเป็นนักเขียนเต็มตัว และเลือกจะใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมากับงานจิตอาสาแทน คุณปุ้ยคือเจ้าของนามปากกา ‘กัลฐิดา’ ผู้ริเริ่มจักรวาลเซวีน่า เดรกเกอร์ คฤหาสน์คาเลนดาร์ และโลกแฟนตาซีอื่นๆ ที่ครองใจนักอ่านทั่วประเทศมาสิบกว่าปี
วันนี้ Career Fact จะพาทุกคนไปรู้จักกับเรื่องราวชีวิตบนเส้นทางการเป็นนักเขียนของคุณปุ้ย ที่ทางเราต้องยอมรับเลยว่า…สนุกสนานและน่ามหัศจรรย์ไม่แพ้เรื่องราวจากปลายปากกาของเธอจริงๆ
วัยเด็กของกัลฐิดา
คุณปุ้ยเป็นหนึ่งในหลานสาวของครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะในอำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี เธอมีคุณแม่ที่เป็นหนึ่งในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องเรียน และมีคุณย่าที่พร้อมจะสนับสนุนในพาร์ทการศึกษาของหลานๆ เสมอ แต่ครอบครัวของเธอก็มีเงื่อนไขที่เข้มงวดมากๆ อยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือนับตั้งแต่วินาทีแรกที่เรียนจบแล้วก้าวออกจากรั้วมหาวิทยาลัย หลานทุกคนจะไม่ได้รับอะไรติดตัวออกไปจากบ้านเลยนอกจากความรู้ ซึ่งสิ่งนี้ก็กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่นำไปสู่การเลือกอาชีพของคุณปุ้ยตอนอายุ 14 ปี
คุณปุ้ยมีพี่น้องอีก 3 คน ได้แก่ พี่ชาย ฝาแฝด และน้องสาว ซึ่งทุกคนในบ้านเป็นนักอ่าน คุณปุ้ยเริ่มรู้จักความสนุกของโลกอีกใบบนหน้ากระดาษตอนเธออยู่ชั้นประถม ที่พี่ชายคนโตแอบพาเธอและน้องๆ ไปรู้จักกับห้องสมุดประชาชนและร้านเช่าการ์ตูนในเขตอำเภอเมือง ตั้งแต่นั้นมาเธอก็กลายเป็นนักอ่านตัวยงที่ช่วยกันเก็บหอมออมริดกับพี่น้องเพื่อซื้อหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่ๆ จนเธอมีความฝันที่อยากจะมีเงินซื้อหนังสือการ์ตูนไปตลอดชีวิต เมื่อต้องเดินทางเข้ามาเรียนที่โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชาในกรุงเทพฯ สิ่งเดียวที่ทำให้เด็กมัธยมคนนั้นมีความสุขกับชีวิตในเมืองหลวงก็คือร้านหนังสือแถวสะพานสอง
นอกจากนี้ บ้านของคุณปุ้ยยังเปิดห้องสมุดขนาดค่อนข้างใหญ่ในอำเภอที่มีหนังสือมากกว่าหกหมื่นเล่ม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เธอและพี่น้องได้อ่านหนังสือดีๆ ที่อยากอ่านตลอดมา
ความฝันในการเป็นทันตแพทย์
คุณปุ้ยเรียนจบจากคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ด้วยคะแนนเอนทรานซ์ที่ผ่านแบบฉิวเฉียดพอดี เธอใฝ่ฝันอยากจะเป็นทันตแพทย์มาตั้งแต่อายุ 14 หรือช่วง ม.2 ด้วยเหตุผลหลักๆ 3 ข้อคือ หนึ่ง มันเป็นอาชีพที่รายได้ดี ที่สามารถทำเงินให้เธอซื้อหนังสือการ์ตูนไปได้ตลอดชีวิต สอง เธอคิดเอาเองว่าทันตแพทย์จะมีเวลาว่างนอกเหนือจากการทำงานมากว่าแพทย์ เพื่อที่เธอจะสามารถนำเวลาตรงส่วนนั้นไปอ่านหนังสือที่ชอบได้ และสาม คณะสายสาธารณสุขเป็นอาชีพที่เรียนจบแล้วสามารถทำงานได้เลย ไม่ต้องคอยยื่นเรซูเม่เพื่อสมัครงาน เพราะทางบ้านจะไม่ให้การสนับสนุนเธออีกต่อไปในช่วงรอยต่อระหว่างเรียนจบและได้งานแรก ดังนั้นคุณปุ้ยจึงทุ่มเทเวลาให้กับการอ่านหนังสือเตรียมตัวเข้าคณะทันตแพทยศาสตร์ยาวนานถึง 6 ปี
แต่ถึงจะสอบเข้ามาได้แล้ว การสอบติดก็ไม่ใช่ตอนจบที่สวยหรู มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นสู่เส้นทางเดินใหม่ของชีวิตต่างหาก หลังจากเรียนมาได้สักพัก ตอนช่วงประมาณ ปี 2 เทอม 1 คุณปุ้ยค้นพบว่าเธอไม่ชอบสไตล์ของการเรียนของคณะ เธอทุ่มเทเพื่อสอบให้ติดคณะทันตะฯ โดยที่ลืมคิดไปว่าเธอถนัดวิชาคำนวณมากกว่าชีววิทยา และเธอไม่สามารถนั่งเรียนในห้องเลคเชอร์ติดต่อกัน 9-10 ชั่วโมงได้ นี่เป็นสถานการณ์บังคับที่เธอไม่เคยนึกถึงมาก่อน และความรู้สึกที่ตอกย้ำคุณปุ้ยซ้ำๆ ในตอนนั้นว่า “นี่ฉันเลือกผิดทางหรือเปล่า? จริงๆ แล้วเราต้องการชีวิตแบบไหนกันแน่?” (เพราะอาชีพหมอฟันไม่ใช่หนทางเดียวที่จะทำให้เธอบรรลุความฝัน) ก็ทำให้เธอเกิดภาวะ Depression หรือซึมเศร้าขึ้นมา
คุณปุ้ยบอกว่า ตอนนั้นเป็นช่วงที่เธอทำตัวโหลยโท่ยที่สุดในชีวิต เธอตื่นสาย ไม่ยอมไปเข้าเรียนหรือไม่ก็เข้าเรียนสาย ไม่ทบทวนบทเรียน หลับในห้อง และพฤติกรรมอื่นๆ อีกมากมายที่เด็กเคยเรียนเก่งไม่น่าจะทำ โชคดีที่เพื่อนสนิทของเธอดึงเธอขึ้นมาจากความรู้สึกจมดิ่งตอนนั้นได้ เธอเริ่มตกตะกอนความคิดว่า ถึงแม้เธอจะเลือกผิดพลาดไปบ้าง แต่มันก็เป็นตัวเลือกที่เธอเลือกเองกับมือ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเธอคือต้องแก้ไขหรือรับผิดชอบต่อการตัดสินใจนี้ หลังจากนั้น คุณปุ้ยก็พยายามฮึดสู้กลับมาเรียน แม้ตอนช่วง Pre-Clinic จะได้เกรด C รัวๆ แต่เธอก็สามารถกู้เกรด A กลับมาได้สำเร็จตอนช่วง Clinic เพราะเธอมีการเตรียมบทเรียนที่ดีและถนัดการลงมือทำมากกว่านั่งเรียนเลคเชอร์ จนได้รับคำชมจากอาจารย์หมอทุกภาค
และช่วงที่เธอเกิดภาวะซึมเศร้านี้เอง ที่เป็นต้นกำเนิดของ ‘เซวีน่า มหานครแห่งมนตรา’ วรรณกรรมเยาวชนไทยแนวแฟนตาซีที่สามารถสร้างเม็ดเงินให้เธอได้มากกว่าแปดหลัก
เส้นทางของนักเขียนมืออาชีพ
แม้จะเป็นนักอ่านตัวยง แต่อาชีพนักเขียนก็ไม่เคยอยู่ในลิสต์ความฝันของคุณปุ้ยมาก่อน จนเมื่อตอนปี 2 ที่เธอกำลังหาทางออกให้กับชีวิต พี่ชายก็โทรมาชวนให้เขียนนิยายลงเว็บบอร์ดด้วยกัน คุณปุ้ยตอบตกลงแล้วเริ่มด้วยการเขียนนิยายรัก ที่เธอบอกว่ามันไม่เวิร์กสุดๆ ไปเลย เพราะเธอไม่เข้าใจเหตุและผล รวมถึงเงื่อนไขเล็กๆ น้อยๆ ที่ประกอบขึ้นมาเป็นนิยายรักของไทย ทำให้เธอไม่สามารถเขียนมันออกมาได้ดีพออย่างที่ตั้งใจ คุณปุ้ยยอมรับว่าตอนนั้นเธอก็ค่อนข้างเฟลพอสมควร แต่เธอในฐานะนักอ่านคนหนึ่งก็ยอมรับว่างานเขียนตอนนั้นมันไม่ดีจริงๆ เธอจึงเบนสายมาเขียนงานแฟนตาซีแทน เพราะมันมีองค์ประกอบที่นิยายรักโรแมนติกจ๋าๆ ไม่มี ซึ่งคุณปุ้ยชอบตรงนั้น อาณาจักรเซวีน่าและเส้นทางการผจญภัยของเฟมีลล่า ไดเอนแพนไทร์ จึงถือกำเนิดขึ้นในฐานะผลงานเรื่องที่สองของเธอ
“แล้วนิยายแฟนตาซีมีดียังไง?” จริงๆ มันก็มีหลายสาเหตุที่คุณปุ้ยบอกกับทาง Career Fact ว่าทำไมวรรณกรรมแนวแฟนตาซีถึงกลายมาเป็นลู่ทางที่เธอถนัด ซึ่งพอสรุปออกมาได้คร่าวๆ ดังนี้ ข้อแรก โลกแฟนตาซีเป็นสถานที่เดียวที่อนุญาตให้เธอสามารถถ่ายทอดความเชื่อของตัวเอง รวมถึงศาสตร์ความรู้ที่เธอสนใจ เช่น เรื่องกลุ่มดาวที่ปรากฏในคฤหาสน์คาเลนดาร์ ลงในเรื่องราวได้
ข้อที่สอง คุณปุ้ยทำรีเสิร์ชหรือค้นคว้าเกี่ยวกับวรรณกรรมเยาวชนนานถึงครึ่งปี ก่อนจะเริ่มเขียนเซวีน่า เธออ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์เป็นสิบครั้งเพื่อวิเคราะห์โครงสร้างของมัน เธอยังค้นพบด้วยว่าในช่วงเวลานั้น (เมื่อ 20 ปีก่อน) วรรณกรรมเยาวชนไทยยังเป็นสนามประลองที่เปิดโล่ง ไร้เงาของคู่แข่งเหมือนกับตอนนี้ ทำให้เธอมองว่ามันคุ้มค่าที่จะลอง
ข้อสุดท้าย คุณปุ้ยเล็งเห็นแล้วว่าวัยรุ่นไทยมักมีปัญหาในเรื่องการตามหาแพชชั่นหรือ ‘ความฝัน’ เพราะขาดสื่อที่จะช่วยชี้นำ เช่น วรรณกรรม เธอจึงอยากผลิตผลงานที่ตอบโจทย์เยาวชนกลุ่มนี้ โดยการสร้างตัวละครเป็นเด็กวัยรุ่นที่มีเงื่อนไขในชีวิตแตกต่างกัน เช่น เฟมีลล่า ไดเอนแพนไทร์ (จากเซวีน่า) ที่ถูกบังคับให้แบกรับชะตากรรมของอาณาจักร หรือ แอมเบอร์รี่ แคลร์ (จากเดอะ เดรกเกอร์ สตอรี่) ที่ต้องยอมรับโชคชะตาอันน่ารังเกียจเพื่อปกป้องครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของเธอ ด้วยหวังว่าเส้นเรื่องของตัวละครทุกตัวจะสามารถกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักอ่านได้
ในสังคมปัจจุบันที่ผู้คนกำลังเรียกร้องถึงความเท่าเทียมทางเพศ น่าแปลกใจที่คุณปุ้ยบรรจุแนวความคิดนี้ไว้ในผลงานของเธอตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคำถามถึงสถานะของเพศหญิงในสังคมชายเป็นใหญ่อย่างประเทศลาโคน่า ดังที่ปรากฏในเดรกเกอร์ หรือการบอกเล่าความรับผิดชอบต่อการมีเพศสัมพันธ์ก่อนถึงวัยอันควรของซัมเมอร์ คาเลนดาร์ หนึ่งในเจ้าบ้านของคฤหาสน์คาเลนดาร์ เป็นต้น
เมื่อเวลาที่ต้องเลือกมาถึง
ปัจจุบัน อาชีพหลักของคุณปุ้ยคือการเป็นนักเขียนแบบฟูลไทม์ พร้อมกับเป็นทันตแพทย์จิตอาสาไปด้วย ซึ่งเธอก็ได้เล่าวินาทีที่จำต้องลาออกจากงานราชการให้ Career Fact ฟังด้วย
คุณปุ้ยสร้างเงินล้านได้ตั้งแต่สมัยยังเป็นนิสิตทันตแพทย์อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยจากผลงานเรื่องเซวีน่า เพราะฉะนั้นการทำงานหลังใช้ทุนเสร็จจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไป เพราะเห็นกันอยู่ชัดๆ ว่างานเขียนหาเงินให้เธอได้มากกว่า แต่คุณปุ้ยก็ยังทำงานในโรงพยาบาลแถวอำเภอต่ออีก 3 ปี นับรวมกับเวลาใช้ทุนแล้วคือเธอทำงานเป็นทันตแพทย์ถึง 6 ปี โดยระหว่างช่วงนั้นก็ยังผลิตผลงานออกมาให้มิตรรักนักอ่านไม่เคยขาด สาเหตุเป็นเพราะคุณปุ้ยเป็นสาวโสด ครอบครัวจึงอยากให้เธอมีการงานที่มั่นคงและห้ามลาออกจากราชการ แม้ว่าเธอจะดูแลตัวเองมาตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้รับเช็คเงินสดหนึ่งล้านบาทจากสำนักพิมพ์สถาพรก็ตาม ซึ่งคุณปุ้ยก็เออออกับที่บ้านไปตามนั้น
ช่วงระหว่าง 6 ปีนั้นมีหลายๆ อย่างที่ทำให้คุณปุ้ยตัดสินใจขออนุมัติการลาออกจากงานราชการกับครอบครัว แรกๆ ก็เป็นภาระงานที่หนักมากเพราะเธอมีตำแหน่งใหญ่ และการทำงานแบบวนลูป (ตื่นนอน 7 โมง เริ่มงาน 8 โมงครึ่ง เลิก 5 โมง เขียนนิยาย 6 โมงถึงตี 2) ก็ทำให้สุขภาพของเธอแย่ลงแล้วภาวะซึมเศร้าก็กลับมาเยือนอีกครั้ง แต่โมเมนต์สำคัญเลยจริงๆ ที่ทำให้เธอตัดสินใจเดินไปขอใบลาออกจากฝ่ายทะเบียน คือตอนที่กำลังจะได้รับคำสั่งแต่งเป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาล เพราะคุณปุ้ยรู้ดีว่าหากรับตำแหน่งนี้ เธอจะไม่มีเวลาทุ่มเทพัฒนาให้กับงานเขียนที่รักอีกต่อไป นอกจากทำเรื่องลาออกกับทางโรงพยาบาลแล้ว คุณปุ้ยก็ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินให้คุณแม่พิจารณาดูด้วยว่า เธอมีความพร้อมที่จะดูแลตัวเองได้จากอาชีพนักเขียนจริงๆ
“เราต้องแสดงให้พ่อแม่เห็นว่าเราพร้อมแล้วที่จะดูแลตัวเอง”
เมื่อลาออกมาเป็นนักเขียนแบบฟูลไทม์ ด้วยความทำงานหนักมาตลอด คุณปุ้ยจึงเหมือนเสพติดการทำงานไปโดยปริยาย จากปกติที่ออกนิยายปีละ 2-3 เล่ม ก็กลายเป็น 7-8 เล่ม คือออกบ่อยกว่าเดิมถึง 3 เท่า สิ่งที่น่าแปลกใจคือทุกวันนี้คุณปุ้ยจัดเวลาการทำงานได้ดีกว่าช่วงแรกๆ ที่ลาออกมาก แต่มันกลับมาทำให้เธอออกนิยายบ่อยถึง 12 เล่มต่อปีเลยทีเดียว! ออกจนนักอ่านโอดครวญว่า “ตามซื้อไม่ทันแล้วค่ะพี่กัลฐิดา”
นักเขียนที่ดีควรเป็นอย่างไร
หนังสือจัดว่าเป็นสินค้าฟุ่ยเฟือย เพราะฉะนั้นหากใครที่อยากจะประสบความสำเร็จอย่างมั่นคงในวงการนี้ ก็ต้องมั่นใจว่าตัวเองเป็นนักเขียนที่มีทักษะดีพอให้นักอ่านมาลงทุนกับหนังสือของเรา ซึ่งก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้แบบนั้น สำหรับคุณปุ้ยแล้ว จุดเริ่มต้นของการเป็นนักเขียนที่ดีมักจะเริ่มต้นจากการเป็นนักอ่านที่ดีเสมอ ทั้งการอ่านงานของคนอื่นเพื่อศึกษาและการอ่านงานของตัวเองเพื่อตรวจทานหลังเขียนจบ เธอเองก็เคยเจอนักเขียนมากมายที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่จนแล้วจนรอด การอ่านหนังสือก็เป็นหนึ่งในวิธีการเพิ่มพูนทักษะของตัวเองที่เหล่านักเขียนทุกคนหนีไม่พ้นอยู่ดี และทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน ก็เป็นสิ่งที่นักเขียนต้องพัฒนาไปตลอดชีวิตอีกด้วย
นอกจากนี้ การจะผลิตผลงานออกมาให้ดีจนนักอ่านประทับใจแล้วติดตามเป็นแฟนคลับ นักเขียนยังต้องใช้เวลาอย่างมากในการฝึกฝน ระหว่างช่วงเวลานั้น คุณปุ้ยอยากให้ทุกคนรับผิดชอบตัวเองก่อน เช่น การทำงานอื่นๆ เพื่อหารายได้มาจุนเจือชีวิต เพราะถ้าต้องอดตายระหว่างที่กำลังจะเดินไปถึงฝัน ความฝันนั้นก็คงไม่มีค่าอะไร
“คนมีความฝัน ถ้าคุณอดตาย คุณก็จะไม่ได้ทำตามฝัน”
นักเขียนก็เป็นเหมือนนักธุรกิจที่ต้องเข้าใจตลาดหรือกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งคุณปุ้ยพิสูจน์มาแล้วว่าสิ่งเดียวที่นักอ่านตามหาในงานเขียนก็คือ ‘ความสนุก’ ส่วนการออกแบบตัวละครหรือภาษาที่ใช้เป็นปัจจัยร่วมที่ช่วยส่งเสริมคุณค่าของงานเขียน
ข้อความที่อยากฝากถึง
ก่อนจะจบการสัมภาษณ์ เมื่อเราถามถึงข้อคิดหรือบทเรียนที่คุณปุ้ยอยากจะบอกทุกคนที่มีโอกาสได้เข้ามาอ่านบทความนี้ เธอตอบว่าสูตรลับของความสำเร็จสำหรับเธอไม่มีอะไรมากไปกว่าการลงมือทำอย่างจริงจังและมีวินัย แม้คนนอกวงการจะมองว่าการเขียนต้องใช้พรสวรรค์เป็นหลัก แต่คุณปุ้ยก็ยืนยันว่าสิ่งที่ทำให้เธอยังคงสามารถยืนอยู่อย่างมั่นคงได้ในวงการนี้คือ ‘วินัย จริงจัง ทุ่มเท’ หากเราทุกคนมีสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะประสบความสำเร็จ เหมือนกับเธอที่ตั้งใจจริงกับทั้งบทบาทนักเขียนและทันตแพทย์มาตลอด
หลายคนอาจจะไม่เคยรู้ว่า คุณปุ้ยทุ่มเทให้กับงานเขียนขนาดที่เคยต้องพิมพ์นิยายหน้าห้องผ่าตัดของคุณแม่เพื่อส่งให้ทันเดดไลน์ของสำนักพิมพ์
“ถ้าคุณอยากมีเงินล้าน คุณจะพยายามน้อยกว่าคนอยากมีเงินแสนได้ยังไง”
ตลอดระยะเวลา 17 ปีที่ผ่านมา งานเขียนที่ได้ตีพิมพ์ภายใต้นามปากกา ‘กัลฐิดา’ ของคุณปุ้ย มีมากกว่า 70 เล่ม และผลงานทุกๆ เล่มก็ยังเดินหน้าสร้างเงินล้านให้กับเธอต่อไป วรรณกรรมเรื่องแรกของเธออย่าง ‘เซวีน่า มหานครแห่งมนตร’ ซึ่งตัดอันดับ 101 เล่มในดวงใจนักเขียนและนักอ่าน เมื่อปี 2553 ก็ยังคงติดอันดับขายดีของร้านหนังสือคิโนะคูนิยะ (Books Kinokuniya) ทุกปี ทุกอย่างที่คุณปุ้ยทำคือเครื่องพิสูจน์แล้วว่าเธอเป็น ‘ตัวจริง’ ในวงการนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
Personal Branding คืออะไร? สื่อสารอย่างไร? ในวันที่ตัวตนสำคัญกว่าตัวแบรนด์

FacebookFacebookXXLINELine‘แบรนด์’ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำธุรกิจ แต่หากเราพูดถึงการสร้างแบรนด์ในปัจจุบัน Personal Branding จะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนให้ความสนใจ และให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เมื่อพูดถึง Personal…