ใครคือผู้อยู่เบื้องหลัง KakaoTalk แอปแชทที่คนเกาหลี 90% ต้องมีติดเครื่อง?
ท่ามกลางบริษัทใหญ่ๆ ในเกาหลีใต้ที่ถูกส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น บริษัทเล็กๆ แทบจะไม่สามารถขึ้นมาแข่งขันกับยักษ์ใหญ่ได้เลย แต่คิมบอมซู (Kim Beom-su) ผู้ก่อตั้งและ Chairman ของ Kakao สามารถสร้าง KakaoTalk ให้ก้าวขึ้นมาเป็นแอปพลิเคชันแชทอันดับหนึ่งของเกาหลีใต้ได้ และหลังจากที่หุ้น Kakao ปรับตัวขึ้นมาถึง 110% ในเดือนมิถุนายน เขาก็มีทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 5.6 พันล้านดอลลาร์ และได้ก้าวขึ้นมาเป็นคนที่รวยที่สุดในเกาหลีใต้โดยการจัดอันดับแบบเรียลไทม์ของ Forbes
เขาทำอย่างไรให้ Kakao ประสบความสำเร็จได้ และชีวิตของเขาเป็นอย่างไร
วัยเด็กแสนลำบาก
คิมบอมซู (Kim Beom-su) เกิดในครอบครัวยากจน พ่อแม่ของเขาไม่ได้เรียนหนังสือ พ่อเขาเป็นพนักงานโรงงานทำปากกา ส่วนแม่เขาเป็นพนักงานทำความสะอาดที่โรงเรียนประถม คิมอาศัยอยู่ที่ห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งในย่านยากจนของโซลร่วมกับสมาชิกอีก 7 คนในครอบครัว
เขาตั้งใจเรียนจนสามารถสอบติดมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซลซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของเกาหลีใต้ได้ และเขายังสอบติดมหาวิทยาลัยได้เป็นคนแรกในครอบครัว แต่พ่อแม่เขาไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายค่าเทอมให้ เขาไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาและหันมาสอนพิเศษเพื่อหาเงินจ่ายค่าเทอมเอง เขาได้เปลี่ยนความยากลำบากเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เขาขับเคลื่อนไปข้างหน้าต่อไปได้
เริ่มทำงาน
เขาได้ทำงานอยู่หลายที่ โดยเริ่มตั้งแต่ทำงานในฝ่าย IT Service ที่ Samsung หลังจากทำงานได้ 5 ปี เขาสามารถระดมทุนจากเพื่อนและครอบครัวได้ 184,000 ดอลลาร์ จึงตัดสินใจลาออกไปเปิดร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ เริ่มสร้างเว็บพอร์ทัลที่เป็นศูนย์รวมเกมหลายรูปแบบอย่าง Hangame และสร้างเกมคาสิโนออนไลน์และเกมการ์ดเกาหลีออนไลน์อย่าง Go-Stop ไว้บนเว็บไซต์นั้น โดยให้ลูกค้าที่มาใช้บริการร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ทดลองเล่นเกมที่เขาสร้างก่อนนำเกมไปเผยแพร่จริง
คิมทำงานทั้งวันทั้งคืนจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน เพราะต้องสวมบทบาททั้งนักธุรกิจและโปรแกรมเมอร์ในเวลาเดียวกัน แน่นอนว่าเขาภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างมากที่สามารถสร้างธุรกิจได้ด้วยตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เครียดอยู่เหมือนกัน วันหนึ่งเขาเคยแอบไปร้องไห้ในห้องซาวน่าเพราะกลัวว่าจะไม่มีเงินมาจ่ายพนักงานที่ทำงานให้เขา หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เขาก็อาบน้ำนานเป็นกิจวัตรยามเช้า (บางทีเกือบถึง 1 ชั่วโมง) และใช้เวลาที่อยู่ในห้องน้ำสาธารณะเพื่อนั่งการคิดไอเดียใหม่ๆ
3 เดือนผ่านไป Hangame มีผู้ใช้บริการถึง 1 ล้านราย คิมจึงมองหาพาร์ทเนอร์เพื่อขยายธุรกิจของเขา และได้กลับไปเป็นพาร์ทเนอร์กับ อี แฮจิน (Lee Hae-jin) เพื่อนร่วมงานเก่าที่ซัมซุง ที่ขณะนั้นเป็นเจ้าของ Naver เว็บไซด์ค้นหาข้อมูล ทั้งสองคนรวมกิจการกันเพื่อก่อตั้งบริษัท NHN และเปิดตัวเว็บไซต์พอร์ทัลที่ให้บริการแทบทุกอย่าง เช่น บล็อก เว็บเพจ รูปภาพ คาเฟ่ ฯลฯ ทั้งสองคนแบ่งกันบริหารงานในบริษัท นอกจากนี้ NHN ยังได้ขยายธุรกิจไปในด้าน เสิร์ชเอนจิน เกม และอีเมล และกลายเป็นเว็บไซต์ที่มีคนเข้าชมมากที่สุดในเกาหลี
บุกอเมริกา
หลังจากที่ NHN เปิดตัวมาได้ 5 ปี คิมก็ย้ายไปอยู่ที่ซิลิคอนวัลเลย์ (Silicon Valley)
เพื่อลองไปบุกตลาดเกมในอเมริกา เขาใช้เวลาอยู่ที่นั่น 2 ปี แต่ทำอะไรได้ไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลย จึงเปลี่ยนใจ ถอยออกมาและลาออกจาก NHN เพื่อหาเป้าหมายใหม่ “เรือจะปลอดภัยที่สุดเมื่ออยู่ที่ท่าเรือ แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ที่เรือถูกสร้างขึ้นมา” คิมอธิบายว่าทำไมเขาถึงลาออกจาก NHN
ในช่วงที่คิมอยู่ที่อเมริกา ไอโฟนเปิดตัวครั้งแรกที่นั่นในปี 2007 เขาเห็นถึงศักยภาพของไอโฟนจึงเกิดปิ๊งไอเดียใหม่ และบินกลับมาที่เกาหลีพร้อมกับทีมใหม่ของเขา เพื่อสร้างแอปพลิเคชันสำหรับไอโฟน (โดยที่อีก 2 ปีถัดมาไอโฟนถึงจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเกาหลี) นอกจากนี้ การกลับมาเกาหลีในครั้งนี้ ทำให้เขาได้มีโอกาสได้ไปเที่ยวกับครอบครัวครั้งแรก หลังจากทำงานมาสิบปีเต็ม
จุดเริ่มต้น Kakao Talk
เมื่อก่อน เราต้องเสียเงินในการรับส่งข้อความผ่านทาง SMS แต่ในปี 2009 WhatsApp เป็นเจ้าแรกที่ให้บริการรับส่งแชทฟรี ทำให้คนเกาหลีชอบ WhatsApp เป็นอย่างมาก คิมเห็นอย่างนั้นจึงเปิดตัว KakaoTalk ในปี 2010 โดยมี WhatsApp เป็นต้นแบบ
เพียงแค่ 1 เดือนหลังเปิดตัว KakaoTalk ก็มีผู้ใช้งานถึง 2 ล้านราย คนเกาหลีในช่วงนั้นชอบ KakaoTalk มากกว่า WhatsApp เพราะว่ามันฟรี ในขณะที่ WhatsApp มีค่าบริการอยู่ที่ 99 เซนท์ต่อปี
นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากๆ ของ KakaoTalk เพราะว่าแอปแชทอย่าง KakaoTalk จะเติบโตได้ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ใช้บริการ ยิ่งมีจำนวนผู้ใช้บริการมาก มูลค่าของ KakaoTalk ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งปรากฎการณ์ลักษณะนี้เรียกว่า ‘Network Effect’ หรือการที่คุณค่าของสิ่งๆ หนึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ใช้บริการ
ความใส่ใจของคิม
ปกติแล้ว พนักงานต้องเรียกเพื่อนร่วมงานที่แก่กว่าด้วยตำแหน่งหน้าที่การงานเท่านั้น และห้ามเรียกชื่อโดยเด็ดขาด แต่พนักงานที่ Kakao เรียกคิมว่า ‘ไบรอัน’ ซึ่งเป็นชื่อเล่นภาษาอังกฤษของเขาโดยไม่ต้องมีตำแหน่งพ่วงได้เลย และพนักงานทุกคนต่างก็มีชื่อเล่นภาษาอังกฤษของตัวเอง นี่คือวิธีที่คิมใช้ในการรื้อวัฒนธรรมองค์กรแบบเดิมๆ ของเกาหลี ทำให้วัฒนธรรมบริษัทมีความทันสมัยมากขึ้น
มุมมองต่อสตาร์ทอัพในเกาหลี
“ในเกาหลี คุณจะต้องเสี่ยงชีวิตกับการเริ่มปั้นธุรกิจเพราะคุณจะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อคุณผ่านการล้มเหลวมาก่อน คุณจะได้เรียนรู้หลายๆ อย่างจากความผิดพลาด แต่คุณไม่มีโอกาสใช้ความรู้ที่ได้มาเลย แต่ที่ซิลิคอนวัลเลย์ ซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่ดีและมีมาตรฐานจะทำให้ความผิดพลาดสามารถเปลี่ยนเป็นไอเดียที่ดีขึ้นได้ ผมอิจฉาสภาพแวดล้อมแบบนั้น และอยากสร้างให้มันเกิดที่เกาหลีด้วย” คิมกล่าว
เกาหลีมีบริษัทขนาดใหญ่คุมตลาดอยู่จำนวนมาก ส่งผลให้ธุรกิจเล็กๆ หน้าใหม่ไม่สามารถต่อสู้ได้ด้วยตัวเอง คิมจึงลงทุนในสตาร์ทอัพไปมากกว่า 70 ที่ ทำให้สตาร์ทอัพในเกาหลีมีที่ยืนมากขึ้นในหลายปีที่ผ่านมา
คิมคิดว่า ระบบการศึกษาของเกาหลีนั้นไม่ยืดหยุ่น และขัดขวางต่อการพัฒนาของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) เขาให้ความสำคัญกับการศึกษามาก เขาจึงส่งลูกตัวเองไปเรียนที่มหาวิทยาลัยในอเมริกา “การศึกษาในตอนนี้ใส่ใจแต่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเด็กเพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่มีความสร้างสรรค์เลย หลายคนทำให้ตัวเองอยู่ในกรอบเดิมๆ แต่สำหรับรุ่นต่อไป…คุณต้องหัดคิดนอกกรอบ” คิมกล่าว
ทุกวันนี้คิมกลายเป็นเศรษฐีลำดับต้นๆ ของประเทศ ถึงแม้ว่าเขาจะมีต้นทุนชีวิตไม่เท่าคนอื่น แต่เขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เขาก็สามารถปั้นสตาร์ทอัพให้สำเร็จในเกาหลีได้เหมือนกัน จนวันนี้ Kakao กลายเป็นอาณาจักรใหญ่ที่ให้บริการทั้ง แอปแชท อีคอมเมิร์ซ ฟินเทค มิวสิกสตรีมมิ่ง เกม หนังสือออนไลน์ และอีกหลายธุรกิจมากมาย และสามารถฟาดฟันกับบริษัทใหญ่ๆ และเก่าแก่อย่าง Samsung หรือ Hyundai ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ แหกกฎของเกาหลีใต้ที่ว่าสตาร์ทอัพหรือบริษัทใหม่ๆ คงอยู่ได้ยากท่ามกลางบริษัทใหญ่ๆ
อ้างอิง
Personal Branding คืออะไร? สื่อสารอย่างไร? ในวันที่ตัวตนสำคัญกว่าตัวแบรนด์

FacebookFacebookXXLINELine‘แบรนด์’ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำธุรกิจ แต่หากเราพูดถึงการสร้างแบรนด์ในปัจจุบัน Personal Branding จะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนให้ความสนใจ และให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เมื่อพูดถึง Personal…