หลายๆคนคงเห็นแล้วว่าช้อปปี้ดึง “แจ็คกี้ ชาน” นักแสดงระดับโลก ที่จะมาชวนช้อปสู้ฟัดช่วงกับเทศกาลช้อปปิ้งส่งท้ายปีในแคมเปญ Shopee 9.9 Super Shopping Day
วันนี้ Career fact จะพาไปดูว่า กว่าจะมาเป็นนักแสดงและผู้กำกับชาวเอเชียที่ประสบความสำเร็จมากที่ในโลกจากภาพยนตร์สายโหดมันฮาและการแสดงอันผาดโผนของเขาผ่านอะไรมาบ้าง
ชีวิตที่ออกแบบไม่ได้
เฉินหลงมีชื่อจริงว่า เฉิน กั่งเซิง ที่แปลว่า “เกิดที่ฮ่องกง” พ่อของเขาชื่อ ชาร์ลส์ ส่วนแม่ของชื่อ ลี่ลี่ ในวันที่เขาลืมตาดูโลกพ่อแม่ของเขาต้องไปขอยืมเงินจากเพื่อนมาเพื่อจ่ายค่าทำคลอด
ถึงแม้จะมีฐานะยากจน แต่พ่อแม่ของเขาก็มีการงานที่มั่นคง พวกเขาทำงานที่สถานทูตฝรั่งเศสทั้งคู่โดยชาร์ลส์เป็นพ่อครัวและลี่ลี่เป็นแม่บ้าน
เมื่อเฉินหลงยังเด็ก ชาร์ลส์มักปลุกให้เขาตื่นแต่เช้าเสมอเพื่อฝึกซ้อมวิชากังฟูเพราะชาร์ลส์เชื่อว่ากังฟูจะทำให้เฉินหลงมีบุคลิกที่ดี มีความอดทน แข็งแกร่งและกล้าหาญ
เวลาผ่านไป เมื่อเฉินหลงอายุได้ 7 ขวบ ชาร์ลส์ก็ได้ตำแหน่งหัวหนัาพ่อครัวที่สถานฑูตอเมริกาในออสเตรเลียซึ่งหมายความว่าครอบครัวของเขาต้องย้ายไปอยู่ต่างประเทศ อย่างไรก็ตามพ่อของเขากลับรู้สึกว่าเฉินหลงควรอยู่ที่ฮ่องกงต่อเพื่อเรียนรู้ทักษะต่างๆ เฉินหลงจึงถูกส่งไปเรียนโรงเรียนสอนการแสดงงิ้ว
ในช่วงชีวิตที่โรงเรียน เฉินหลงได้เรียนรู้ทั้งวิชาการต่อสู้ กายกรรม ร้องเพลง และการแสดง แต่ครูที่นั่นดุมาก เฉินหลงจึงต้องมีวินัยและตั้งใจเรียนอย่างเข้มงวดไม่งั้นจะถูกลงโทษอย่างหนัก ชีวิตวัยเรียนของเขาช่างยากเย็นแถมยังแทบไม่ได้เจอพ่อแม่ อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้มีโอกาสแสดงงิ้วครั้งแรกตั้งแต่อายุ 8 ขวบ
เมื่ออายุได้ 17 ปี เฉินหลงที่พึ่งจบจากโรงเรียนงิ้วก็ต้องหางานด้านอื่นทำเพราะตอนนั้นเป็นช่วงขาลงของการแสดงงิ้ว โชคร้ายที่โรงเรียนไม่ได้สอนเรื่องการอ่านเขียน เขาจึงทำได้แต่งานแบกหาม อย่างไรก็ตาม เฉินหลงกลับได้งานสตั้นท์แมนเพราะตอนนั้นภาพยนตร์ฮ่องกงกำลังบูมซึ่งเขาก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมจนเป็นที่รู้จักในกลุ่มนักแสดงผาดโผน
เฉินหลงทำงานเป็นสตั้นท์แมนได้ 2-3 ปี อุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮ่องกงก็ดันถึงขาลงอีก เขาจึงต้องจำใจย้ายไปอยู่กับพ่อแม่ที่ออสเตรเลีย คราวนี้เฉินหลงได้ทำงานในร้านอาหารและไซต์ก่อสร้าง ซึ่งเป็นช่วงเวลานี้เองที่เพื่อนๆ เรียกเขาว่าแจ็คกี้ เพราะชื่อจีนของเขาเรียกยาก จนกลายเป็นชื่อเล่นของเขาในที่สุด อย่างไรก็ตาม ชีวิตของเฉินหลงที่ออสเตรเลียกลับไม่มีความสุขเลยเพราะงานก่อสร้างทั้งเหนื่อยและน่าเบื่อ
เข้าสู่วงการ
จนกระทั่งวันหนึ่งในปี 1976 เฉินหลงได้รับการติดต่อจากโปรดิวเซอร์ชื่อดังอย่าง วิลลี่ ชาน (Willy Chan) ให้มารับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง มังกรหนุ่มคะนองเลือด (New Fist of Fury) ของผู้กำกับ โหล เว่ย (Lo Wei) นับเป็นบุญของเฉินหลงที่เคยสร้างความประทับใจให้กับวิลลี่ ชานในตอนที่ยังเป็นสตั้นท์แมน
เฉินหลงในวัย 21 ปี เดินทางกลับฮ่องกงเพื่อถ่ายทำภาพยนตร์ทันที อย่างไรก็ตาม มังกรหนุ่มคะนองเลือด กลับไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เพราะเฉินหลงไม่สามารถแสดงศิลปะการต่อสู้ให้เหมือนกับบรูซ ลี (Bruce Lee) อย่างที่ผู้กำกับต้องการได้ ปัญหาเลยอยู่ที่การใช้งานความสามารถของเฉินหลงแบบไม่ถูกจุด
ภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จเรื่องแรกของเฉินหลงจึงเป็น ไอ้หนุ่มพันมือ (Snake in the Eagle’s Shadow) ที่เขามีอิสระในการแสดงอย่างเต็มที่ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เฉินหลงได้สร้างสิ่งแปลกใหม่โดยการใส่อารมณ์ขันเข้าไปผสมกับกังฟูซึ่งผลตอบรับนั้นยอดเยี่ยมมาก เขาจึงทำแบบเดียวกันในภาพยนตร์เรื่องต่อมาอย่าง ไอ้หนุ่มหมัดเมา (Drunken Master) แล้วทั้ง 2 เรื่องนี้ก็ทำเงินรวมกันกว่า 700 ล้านบาท
นอกจากการแสดงอย่างเดียวแล้ว เฉินหลงมีโอกาสทั้งได้แสดงและกำกับภาพยนตร์เรื่อง ไอ้หนุ่มหมัดฮา (The Fearless Hyena) ด้วย ซึ่งก็ทำเงินได้อย่างมากมายเช่นเดียวกัน
โกอินเตอร์
หลังจากประสบความสำเร็จอย่างมากในเอเชีย วิลลี่ ชาง ที่กลายมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเฉินหลงก็หาลู่ทางให้เฉินหลงได้เข้าสู่วงการฮอลลีวูด โดยภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาได้เล่นคือ Big Brawl ตามด้วยบทตัวประกอบในภาพยนตร์อีกเรื่องแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จนมาขาดทุนยับกับเรื่อง The Protester นั่นจึงทำให้เฉินหลงตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่ฮ่องกงอีกครั้ง
10 ปีต่อมา เฉินหลงที่พึ่งทำกำไรมหาศาลจาก วิ่งสู้ฟัด (Police Story) ทั้ง 4 ภาคก็สามารถเข้ามาในใจคนดูชาวอเมริกันได้สำเร็จจากการแสดงอันโดดเด่นในเรื่อง ใหญ่ฟัดโลก (Rumble in the Bronx) หนึ่งในภาพยนตร์ฮ่องกงไม่กี่เรื่องที่ได้มีโอกาสนำไปฉายที่สหรัฐอเมริกาในขณะนั้น
หลังจากนั้น เฉินหลงก็ดังเป็นพลุแตกจากการได้รับบทนำร่วมในแฟรนไชส์ภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์อย่าง Rush Hour และ Shanghai Noon อย่างไรก็ตาม ถึงจะประสบความสำเร็จอย่างมากในวงการฮอลลีวูดแล้ว เขาก็ยังรู้สึกว่าเขามีอิสระน้อยเกินไปในการทำภาพยนตร์ฮอลลีวูดและบทบาทของนักแสดงเอเชียก็ซ้ำซากจำเจ นั่นจึงทำให้เฉินหลงพยายามจะเปลี่ยนกรอบเดิมๆในภาพยนตร์อย่าง The Tuxedo, The Medallion และ Around the World in 80 days แต่ทั้งสามเรื่องนี้ก็ไม่สามารถทำเงินได้ถล่มทลายอย่างที่ Rush Hour หรือ Shanghai Noon ทำได้
ในช่วงที่โด่งดังในฮอลลีวูด เฉินหลงก็ยังฝากผลงานอันน่าจดจำไว้อย่างมากมายไม่ว่าจะเป็น Spy Next Door หรือ The Karate Kid เขาพยายามฟิตร่างกายอยู่เสมอเพื่อให้แสดงฉากแอ็คชั่นในภาพยนตร์ได้อย่างราบรื่น
ความหลงใหลในภาพยนตร์แอ็คชั่น
หลายครั้งที่เฉินหลงทุ่มเทกับการแสดงมาก จนบางครั้งเกือบจะแลกมาด้วยชีวิต ครั้งหนึ่งเขาเคยตกลงมาจากหอนาฬิกาที่มีความสูงกว่าตึก 4 ชั้น จนทำให้กระดูกหลังแทบหัก หรือครั้งหนึ่งที่เคยกระโดดคว้ากิ่งไม้แล้วพลาด ตกลงมากระโหลกร้าว จนต้องนอนโรงพยาบาลไปหลายวัน
ด้วยอาชีพและการแสดงของเขานั้นทำให้ไม่มีบริษัทไหนที่กล้าทำประกันให้เขาและทีมงานเลย ดังนั้น คนที่รับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดการเจ็บตัวขึ้นระหว่างการแสดงก็คือตัวเขาเอง
ในปี 2012 เฉินหลงก็ประกาศว่าเขาจะค่อยๆ ออกจากการเล่นภาพยนตร์แอ็คชั่นเพราะอายุมากแล้ว และเขาก็สนใจเล่นภาพยนตร์แนวอื่นๆ เช่น แฟนตาซี ดราม่า และโรแมนติก แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น The Foreigner ภาพยนตร์แอ็คชั่นเขย่าขวัญที่เขานำแสดงในปี 2017 ก็กวาดรายได้ไปทั่วโลกถึง 4,700 ล้านบาท แถมยังได้กระแสวิจารณ์ในทางบวกอีกด้วย
ไม่เคยเลิกราในการสร้างความสุขให้ผู้อื่น
.ปัจจุบัน เฉินหลงมีทรัพย์สินกว่า 13,000 ล้านบาท โดยในปี 2016 เขาเป็นนักแสดงชายที่มีรายได้สูงสุดเป็นอันดับสองของโลก สิ่งที่เฉินหลงจริงจังมากคือการใช้เวลากับงานการกุศล เขาทำงานเป็นทูตให้ทั้งโครงการ UNICEF และ UNAIDS นอกจากนั้นเขายังใช้เวลาที่เหลือทำงานช่วยเหลือเด็กผู้ยากไร้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยอีกด้วย
ล่าสุดแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง ช้อปปี้ ก็ดึงเฉินหลงมาร่วมแคมเปญ Shopee 9.9 Super Shopping Day เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ทั้งสนุกสนานและน่าประทับใจให้กับนักช้อปทุกวัยในช่วงเทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ส่งท้ายปี
โดยเฉินหลงกล่าวว่า “ผมมีความสุข สนุกสนานมาก ที่ได้ร่วมงานครั้งสำคัญกับช้อปปี้ และหวังว่าผู้ใช้งานในทุกๆ วัยจะได้รับความสนุกสนานผ่านกิจกรรมและเนื้อหาสาระอัดแน่นไปด้วยความเข้มข้นที่เราเตรียมมามอบให้อย่างจัดเต็ม สุดท้ายนี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะมาร่วมเป็นส่วนสำคัญในมหกรรมช็อปปิ้งส่งท้ายปีครั้งยิ่งใหญ่ให้เป็นที่น่าจดจำไปด้วยกัน”
นับเป็นการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่จากความยากแค้นในวัยเด็กสู่การเป็นนักแสดงระดับโลกที่สร้างรอยยิ้มให้ผู้ชมเสมอมา ชีวิตมันอาจจะยากบ้างบางช่วง แต่ถ้าเราทุ่มเทและไม่ยอมแพ้ เราก็จะสร้างความแตกต่างได้ ดังคำพูดของเฉินหลงที่ว่า
“อย่าปล่อยให้โชคชะตามากำหนดเรา เราเองที่ต้องเป็นคนกำหนดโชคชะตา”
อ้างอิง
Personal Branding คืออะไร? สื่อสารอย่างไร? ในวันที่ตัวตนสำคัญกว่าตัวแบรนด์

FacebookFacebookXXLINELine‘แบรนด์’ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำธุรกิจ แต่หากเราพูดถึงการสร้างแบรนด์ในปัจจุบัน Personal Branding จะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนให้ความสนใจ และให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เมื่อพูดถึง Personal…