แคร์ วริศรา: ครูสอนบัลเลต์ที่ผันตัวเป็นนักแสดงในขบวนพาเหรดที่ดิสนีย์แลนด์

Home » Career Fact » Interview » แคร์ วริศรา: ครูสอนบัลเลต์ที่ผันตัวเป็นนักแสดงในขบวนพาเหรดที่ดิสนีย์แลนด์

“เพราะการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด”

ดิสนีย์แลนด์เปรียบเสมือนดินแดนแห่งความฝันของผู้คนทั่วโลก มีแฟนคลับดิสนีย์จำนวนไม่น้อยที่ใฝ่ฝันอยากจะไปเยือนดินแดนเหล่านี้ดูสักครั้ง แต่มากกว่าการเป็นผู้มาเยือน…คือการเข้าไปทำงานเป็นส่วนหนึ่งของความฝัน

วันนี้ Career Fact ขอนำบทสัมภาษณ์ของ ‘คุณแคร์ – วริศรา ชัยกระวีพันธ์’ ครูสอนบัลเลต์ที่เคยผันตัวเป็นนักแสดงในขบวนพาเหรดที่ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์เป็นเวลาเกือบ 3 ปี เธอจะมาเล่าให้เราฟังว่าเรื่องราวของเธอมีที่มาที่ไปอย่างไรถึงสามารถทำตามความฝันได้สำเร็จ แล้วเธอได้รับอะไรจากประสบการณ์ในตอนนั้นบ้าง

เด็กหญิงแคร์

คุณแคร์เป็นคนชอบทำกิจกรรมมาตั้งแต่ยังเด็ก โดยเฉพาะในสายศิลปะอย่างพวกดนตรี วาดรูป และการเต้น ซึ่งเมื่อมาถึงทางแยกที่เธอจำเป็นต้องเลือกว่าจะพัฒนาทักษะในด้านไหน…เธอเลือกที่จะเรียนบัลเลต์ต่อ แม้ว่าในตอนนั้นเธอจะยังมองไม่เห็นว่าจะนำสิ่งนี้ไปประกอบอาชีพในอนาคตมากกว่าการเป็นครูสอนบัลเลต์ได้อย่างไรก็ตาม

หลังจากที่เรียนบัลเลต์อย่างจริงจัง คุณแคร์ก็มีภาพความฝันเพียงอย่างเดียวในหัวมาตลอดว่า เธออยากจะเป็นครูสอนบัลเลต์เท่านั้น เธอแทบจะไม่เคยลังเลว่าจะไปทำอาชีพอื่นเลย เธอเล่าว่าเธอรู้สึกโชคดีมากที่ครอบครัวให้การสนับสนุนในสิ่งที่เธอรักเป็นอย่างดี และช่วยผลักดันให้เธอเข้าศึกษาต่อที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ (ภาควิชานาฏยศิลป์ สาขาวิชานาฏยศิลป์ตะวันตก) แม้ว่าจะมีช่วงที่เธอเคยลังเลอยากจะสอบเข้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ตามรอยคุณพ่อ แต่คุณพ่อก็เป็นคนชี้ทางให้เธอทุ่มเทกับบัลเลต์ที่ศิลปกรรมฯ แทน เพราะทั้งเขาและภรรยาต่างชื่นชมในความกล้าแสดงออกของลูกสาวบนเวที

เด็กสินกำ

คุณแคร์บอกว่าเธอไม่ใช่คนที่เต้นบัลเลต์เก่งที่สุดในคณะศิลปกรรมฯ อาจจะเป็นเพราะเริ่มช้ากว่าคนอื่นถึง 4-5 ปี ในคลาสบัลเลต์เธอจึงเป็นคนระดับกลางๆ มากกว่า แต่สิ่งที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จในทางสายนี้คือความมุ่งมั่นและพยายามในสิ่งที่ชอบ ถ้าถามว่าเธอรักบัลเลต์ขนาดไหน ก็ขนาดที่ว่าตอนที่จำเป็นต้องหยุดเรียนไป 1-2 ปีเพราะอาการบาดเจ็บที่ขา แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่เคยหยุดคิดถึงบัลเลต์เลย และพยายามจะกลับไปเรียนให้ได้เร็วที่สุดเสมอ

หลังจากเรียนจบบัลเลต์ระดับสูงสุด อาจารย์สอนบัลเลต์ของเธอก็มาทาบทามให้เธอลองเป็นครูสอนบัลเลต์ดูบ้าง ซึ่งคุณแคร์รู้สึกสนุกกับงานนี้มากๆ เพราะเธอทั้งชอบเด็กและชอบเต้น ครูสอนบัลเลต์จึงเป็นอาชีพหลักที่ทำมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ปี 1 จนถึงตอนนี้

คุณแคร์เปิดเผยจากประสบการณ์ว่า นอกจากอาชีพครูสอนบัลเลต์หรือการเต้นประเภทต่างๆ ที่เป็นอาชีพยอดฮิตในหมู่เด็กศิลปกรรมฯ แล้วนั้น ก็ยังมีอาชีพนักออกแบบท่าเต้น (Choreographer) และนักเต้นอิสระด้วย แต่เนื่องจากว่า ในความคิดของคุณแคร์ ประเทศไทยยังไม่เปิดกว้างหรือให้ค่ากับงานศิลปะมากเท่าไหร่ เด็กศิลปกรรมฯ ส่วนใหญ่จึงออกไปเสาะแสวงหาโอกาสกันในต่างแดนมากกว่า บางคนก็เดินออกจากอุตสาหกรรมนี้ไปทำงานในสายงานอื่นๆ กันบ้างแล้ว เช่น แอร์โฮสเตส พนักงานบริษัททั่วไป เป็นต้น

 

ความฝันที่ดิสนีย์แลนด์

เบื้องต้นคือคุณแคร์เป็นแฟนคลับตัวยงของดิสนีย์ ส่วนจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอสนใจอยากจะมาทำงานที่ดิสนีย์แลนด์เกิดขึ้นตอนช่วงประมาณปี 3 หลังจากที่เธอได้ไปดูโชว์พาเหรดดิสนีย์ที่ฮ่องกง คุณแคร์รู้ตัวทันทีว่าที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ที่เหมาะกับเธอ เพราะเป็นที่ที่เธอจะได้ทำการแสดงและถ่ายถอดความสุขให้แก่คนอื่นๆ โดยเฉพาะเด็กๆ

ในปีแรกที่เธอได้ข่าวจากรุ่นพี่ในคณะว่าดิสนีย์แลนด์จะมาเปิดออดิชั่นที่เมืองไทย คุณแคร์ไม่ได้ตัดสินใจไปออดิชั่นในทันที เพราะมีเงื่อนไขส่วนตัวที่ต้องพิจารณา แต่พอมีโอกาสผ่านเข้ามาอีกครั้ง…เธอจึงถือว่าเป็นจังหวะดีที่จะลองไปออดิชั่นดูเพื่อไล่ตามความฝันอีกหนึ่งข้อในชีวิตให้สำเร็จ

 

ชีวิตที่ดิสนีย์แลนด์

นักเต้นที่ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์จะได้รับการเซ็นสัญญาแบบปีต่อปี และต้องออดิชั่นใหม่ทุกครั้งเพื่อต่อสัญญาในปีถัดไป การแข่งขันจึงค่อนข้างสูง ซึ่งเพื่อนร่วมงานเองก็มีความสามารถสูงตามอัตราการแข่งขัน พวกเขาไม่ใช่แค่เต้นได้ แต่ยังเต้นได้ดีและเต้นได้หลากหลายแนว โดยเฉพาะบัลเลต์ที่แทบจะเป็นพื้นฐานของนักเต้นทุกคน

แม้จะเป็นงานที่หนักมากๆ แต่คุณแคร์ก็มีความสุขมากกับงานที่ทำ มันเป็นความเหนื่อยที่มักแฝงมาด้วยภาพความประทับใจอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่มีเด็กน้อยเข้ามากอดเธอแล้วบอกว่าเธอเป็นเจ้าหญิง แม้ว่าบทบาทของเธอจะเป็นเพียงเจ้าหญิงตัวประกอบในขบวนพาเหรดก็ตาม เธอรู้สึกดีมากที่สามารถมอบรอยยิ้มให้กับพวกเขาได้ผ่านบทบาทที่เธอแสดง

 

นักเต้นของดิสนีย์แลนด์

ความยากของการเป็นนักแสดงในขบวนพาเหรดที่ดิสนีย์แลนด์มีหลายข้อมาก…มากกว่าภาพที่คนอื่นมองว่าการทำงานในสวนสนุกเป็นเรื่องที่โชคดี เริ่มแรกเลยคือคุณแคร์จำเป็นต้องเตรียมตัวก่อนการแสดงจะเริ่มเองทุกครั้ง ตั้งแต่หัวจรดเท้า รวมถึงเสื้อผ้าที่ใส่ เธอต้องออกไปเต้นท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวของเกาะฮ่องกง รอบละครึ่งชั่วโมง วันละสองรอบ หากวันไหนดวงอาทิตย์ตกช้ากว่าปกติเธอก็จำเป็นจะต้องเลิกงานดึก และไม่สามารถออกจากอาณาเขตสวนสนุกได้ก่อนจะถึงเวลาเลิกงาน ทำให้เธอเริ่มงานและเลิกงานไม่เป็นเวลา นอกจากนั้น เธอและเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ยังต้องซ้อมกันหนักมาก เพราะการแสดงในขบวนพาเหรดจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามฤดูกาล และทุกคนก็จำเป็นจะต้องเต้นให้ได้ในทุกๆ พาร์ทของการแสดง 

แม้ว่าจะเป็นงานที่ยากลำบาก แต่ก็มีข้อดีเยอะมาก อันดับแรกเลยคือการเปิดโลกใหม่ให้เธอได้เจอกับนักเต้นที่มีความสามารถหลากหลายแนว ซึ่งทำให้เธอเล็งเห็นถึงข้อได้เปรียบของการมีความรู้หรือความสามารถจำนวนมากติดตัวไว้ ข้อที่สองคือความพยายามและการพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เพราะเธอและเพื่อนร่วมงานจำเป็นต้องเข้าร่วมการออดิชั่นแบบปีต่อปี

 

สิ่งที่อยากฝาก

ก่อนจากกัน คุณแคร์บอกกับเราว่าเธออยากให้สังคมไทยเห็นคุณค่าของงานศิลปะในแขนงต่างๆ มากขึ้น อย่ามองว่าการ “เต้นกินรำกิน” เป็นเรื่องที่แย่เสมอไปเพียงเพรามันเป็นสิ่งที่การศึกษาในระบบมองข้าม แม้ว่าอาชีพเหล่านี้จะไม่ใช่สายวิชาการจ๋าๆ แบบที่สังคมไทยชอบยกย่อง แต่ทุกๆ อาชีพบนโลกก็มีความยากลำบากในแบบของมันเองที่เธออยากให้สังคมไทยยอมรับ และหวังว่าสักวันประเทศไทยจะก้าวไปเป็นแบบประเทศที่พัฒนาแล้ว (Developed Country) ได้ เพื่อที่ผู้คนจะได้ใช้เวลากับงานศิลปะมากขึ้น

ส่วนใครที่กำลังอยากจะประสบความสำเร็จในทางที่ตัวเองรักเหมือนคุณแคร์ เธอก็แนะนำว่าให้คอยมั่นพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพื่อเตรียมพร้อมรับกับทุกโอกาสที่จะมาถึง ถ้าเราชอบในสิ่งนั้นๆ จริงๆ เธอก็ขอให้พยายามไปจนสุดทาง เพราะทุกอย่างสามารถเป็นไปได้บนโลกที่ยิ่งใหญ่ใบนี้

 

ปัจจุบัน คุณแคร์สามารถทำตามความฝันเกี่ยวกับการเต้นได้สำเร็จหมดแล้ว ทั้งการเป็นครูสอนบัลเลต์และนักแสดงที่ดิสนีย์แลนด์ ตอนนี้เธอจึงตั้งใจจะทำงานที่เธอรักอย่างการเป็นคุณครูสอนเต้นต่อไป และหากมีโอกาส เธอก็อยากจะลองไปทำงานในสายอื่นๆ ดูบ้าง เพราะเธอเชื่อว่าศักยภาพของคนเราไม่มีทางสิ้นสุด

“คนคนหนึ่งมันทำได้หลายอย่างมากเลยนะ ถ้าเรามีประสิทธิภาพและกำลังพอที่จะทำ”

สูตรความสำเร็จกับ "ที่สุด" ของประเทศ

คอร์สออนไลน์กับผู้บริหาร ผู้นำทางความคิด แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน