สัปเหร่อ … อาชีพด่านสุดท้ายโรคระบาดที่ถูกทอดทิ้ง

Home » Career Fact » Interview » สัปเหร่อ … อาชีพด่านสุดท้ายโรคระบาดที่ถูกทอดทิ้ง

สัปเหร่อ… อาชีพด่านสุดท้ายโรคระบาดที่ถูกทอดทิ้ง

ชื่อของ ‘ลุงต๋อย’ สุรเสก เนื่องน้อย สัปเหร่อใจสู้แห่งวัดสุทธาวาส (ใหม่ตาสุต) หรือที่เราอาจจะรู้จักกันในชื่อ ผู้ควบคุมการเดินทาง ข้ามมิติ ที่เผาศพผู้ป่วยโควิดไปมากกว่า 70 ศพกำลังเป็นที่สนใจอยู่ในตอนนี้ สัปเหร่อเป็นอาชีพที่หลายคนมองว่าไม่สะอาด น่ารังเกียจและเสี่ยงกับการติดเชื้อมากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันหลายคนก็อาจจะลืมไปว่า อาชีพเดียวกันนี้เองที่มีหน้าที่รับผิดชอบด่านสุดท้ายของ ‘ชีวิต’ และมีบทบาทสำคัญท่ามกลางโรคระบาด

ติดตามเส้นทางอาชีพที่หลายคนมองข้ามกับเรื่องราวของชายผู้มองเห็นงาน ‘สัปเหร่อ’ เป็นอาชีพที่ต้องเสียสละและมีความสำคัญที่สุดอาชีพหนึ่งของสถานการณ์โรคระบาดครั้งนี้ ไปกับ Career Fact ได้ที่นี่

 

จุดเริ่มต้นของลุงต๋อย

ลุงต๋อยอยู่ที่วัดสุทธาวาสตั้งแต่สมัยเด็ก หลังบวชเณรและเป็นพระเขาเคยเป็นพนักงานดับเพลิงอยู่ช่วงหนึ่ง แม้ชีวิตจะอยู่ตัวคนเดียวมาตลอดแต่ลุงต๋อยมีลูกบุญธรรมที่ส่งเสียเลี้ยงดูถึง 6 คน ลุงต๋อยคุ้นเคยกับชีวิตการเป็นสัปเหร่อเพราะปู่และพ่อของเขาก็ทำงานนี้เช่นกัน เขาเล่าให้ฟังว่าศพแรกที่เขาเผาคือญาติที่อยู่ต่างจังหวัด ตอนที่ยังเป็นพระอยู่เขาต้องอาสาเป็นคนนำศพไปเผาด้วยตัวเอง เพราะความเห็นใจและไม่มีใครทำ หลังจากสึกพระลุงต๋อยจึงเป็นสัปเหร่อมาตลอด “ทำเพื่อสังคมมาเรื่อยๆ เพราะเราตัวคนเดียว ช่วยใครได้ก็ช่วย” ลุงต๋อยกล่าว

 

ผู้ควบคุมการเดินทางข้ามมิติ

“ถ้าไม่ปลงจริง ไม่เสียสละจริงๆ ทำงานแบบนี้ไม่ได้” ลุงต๋อยกล่าวถึงอาชีพที่หลายคนไม่ค่อยให้ความสำคัญ

ลุงต๋อยเล่าให้เราฟังว่าอาชีพสัปเหร่อเป็นอาชีพที่หาคนทำยากและคนไม่อยากเป็นเพราะไม่อยากอยู่กับศพ “เป็นอาชีพที่คนเกลียดด้วยนะ คนไม่กล้ากินข้าวด้วยเพราะมือเราไปจับศพมา” เขากล่าว สำหรับลุงต๋อยสัปเหร่อควรเป็นงานที่มีเกียรติและสำคัญที่สุดสำหรับวาระสุดท้ายของร่างไร้วิญญาณทั้งหลาย น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่มองข้ามจุดนั้นไป “ชีวิตสัปเหร่อมันก็เป็นอย่างนี้ มันมีทุกอย่าง ไม่ว่าโรงจะรั่ว ศพจะเหม็นจะเน่าแค่ไหนก็ต้องอยู่กับมัน คนธรรมดาจะไปอยู่กับมันยังไม่ได้หรอก บางทีเปิดโรงมาลูกหลานเห็นพ่อแม่เน่าก็วิ่งหนีกันหมดแล้ว แต่เราวิ่งหนีไม่ได้ ต้องอยู่ตรงนั้น” ลุงต๋อยกล่าว

และหากเทียบกับงานอื่น สัปเหร่อเป็นอาชีพที่เกือบไม่มีรายได้ ลุงต๋อยเล่าว่าถ้าเป็นวัดหลวงสัปเหร่อก็จะมีเงินเดือนให้คนที่เป็นสัปเหร่อทำให้คนอยากทำงานนี้อยู่บ้าง แต่วัดเล็กๆ ทั่วไปนั้นคนที่ทำหน้าที่สัปเหร่อก็ยากจนและไม่มีการศึกษา ยิ่งพอไม่มีเงินเดือนเข้ามาเป็นแรงจูงใจก็ไม่มีใครอยากทำ รายได้ของลุงต๋อยจึงมาจากเจ้าภาพที่ใส่ซองให้เท่านั้น และส่วนใหญ่ลุงต๋อยก็เลือกที่จะนำเงินนั้นไปทำบุญให้กับวัดต่อ แต่ที่ลุงต๋อยทำอาชีพสัปเหร่อมาตลอดก็เพราะมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น เรื่องเงินไม่ใช่ปัจจัยหลัก ตั้งแต่เริ่มมีโรคระบาด ก็มีหลายวัดที่เก็บค่าทำศพแพงขึ้น แต่สำหรับลุงต๋อย การทำแบบนี้เหมือนเป็นการฉวยโอกาสในเวลาที่คนอื่นกำลังลำบาก ต่อให้ได้เงินมาลุงก็ไม่มีความสุข

‘ผู้ควบคุมการเดินทาง ข้ามมิติ’ คือชื่อเฟซบุ๊กปัจจุบันของลุงต๋อย โดยก่อนหน้านี้มีทั้งชื่อ ‘ลุงต๋อยหายทุกร่าง’ และ ‘หายใจไม่ออกบอกลุงต๋อย’ ที่ลุงต๋อยเล่าแบบปนยิ้มเล็กๆ ว่ามันสะท้อนถึงอาชีพของเขาได้อย่างชัดเจน แม้เขาไม่มีความรู้เรื่องเทคโนโลยีและอ่านหนังสือไม่ได้ แต่ก็มีพระและเณรที่วัดคอยให้ความช่วยเหลืออยู่ ทำให้ชื่อของ ‘ผู้ควบคุมการเดินทาง ข้ามมิติ’ เป็นเหมือนชื่อเรียกของอาชีพสัปเหร่อสำหรับลุงต๋อยไปด้วย

 

ความตายในมุมมองของคนที่ใกล้ชิดความตายที่สุด

ลุงต๋อยมองว่าความตายเข้าถึงเราได้เสมอ เรารู้วันเกิด แต่เราไม่มีทางรู้วันตายของตัวเองว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร เวลามีชีวิตอยู่จึงควรใช้ชีวิตอยู่บนความไม่ประมาท หมั่นทำความดี อย่าเห็นแก่ตัวหรือคดโกงใคร เพราะตายไปแม้แต่เสื้อผ้าสักชิ้นก็เอาไปไม่ได้

 

ด่านสุดท้ายของผู้ไร้ชีวิตในช่วงโควิด

“ถ้าไม่มีสัปเหร่อ ใครจะเป็นคนเผาศพ”

ในช่วงโควิดที่จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นในอัตราสูงขึ้นเรื่อยๆ ลุงต๋อยเล่าให้ฟังว่าช่วงแรกศพผู้ป่วยโควิดยังไม่มากเท่านี้ สองวันจะมีเพียงศพเดียวเท่านั้น แต่ในปัจจุบันลุงต๋อยต้องเผาศพทุกวัน ถึงขนาดที่บางวันต้องรอจนเวลาผ่านไปถึงสามทุ่มกว่าจะมีอะไรตกถึงท้อง เขาเริ่มท้อ หมดกำลังใจ และตั้งคำถามว่าประเทศไทยเดินมาถึงจุดที่มีผู้คนล้มตายมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร นอกจากนี้สถานการณ์ที่ยากลำบากแบบนี้ลุงต๋อยบอกว่าปัญหาที่สำคัญมากที่สุดคือการที่วัดอื่นไม่อยากเผาศพผู้ป่วยโควิด “ญาติศพแรกเขาหามา 10 กว่าวัด บอกว่าช่วยหน่อย ลงกราบแล้วกราบอีก เลยไปบอกเจ้าอาวาสว่าขอเผาศพโควิด สงสารเขา”

“แปลกนะที่วัดเป็นของประชาชน ไม่ได้ใช้เงินเจ้าอาวาสสร้างมา เรี่ยไรเงินจากประชาชนทั้งนั้น แต่พอเขาตายมา ขอให้ช่วยกลับไม่มีใครช่วย” คือคำถามปนสงสัยจากปากชายที่ทำหน้าที่เป็นด่านสุดท้ายส่งร่างผู้ป่วยโควิดไปสู่สัมปรายภพ ลุงต๋อยบอกว่าเขาอยากให้ทุกวัดเปิดเผาศพให้กับศพผู้ป่วยโควิด เพราะโอกาสที่จะติดเชื้อจากศพที่ห่อจากโรงพยาบาลน้อยมาก แต่ก็เข้าใจว่าหลายวัดไม่กล้าเสี่ยงลุงต๋อยจึงฝากว่าอยากให้ทุกหน่วยงานเข้ามาดูแล

เขาเล่าว่าตอนเริ่มต้นเผาศพแรกๆ มีเพียงเสื้อกันฝน ถุงมือปอกผลไม้ และรองเท้าแตะเท่านั้น แม้หมอจะเตือนว่ามันอันตรายมากแต่เขาก็เผาไปแล้วหลายศพ จนทุกวันนี้เริ่มมีอุปกรณ์ที่ช่วยให้ปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีผู้ใจดีที่สละสิทธิ์ให้ลุงต๋อยได้รับสิทธิ์ฉีดวัคซีน เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาบอกว่าไม่มีคนหรือหน่วยงานมาให้ความรู้หรือมาดูแลทั้งที่เป็นผู้เสี่ยงภัยในการดูแลศพผู้ป่วยโควิดอย่างใกล้ชิด และการจองผ่านระบบออนไลน์ยิ่งเป็นเรื่องไกลตัวด้วย และเป็นอีกเหตุผลที่ลุงต๋อยต้องออกสื่อสู่สาธารณะเพื่อเป็นกระบอกเสียงให้เห็นว่าการจัดการเรื่องอาชีพสัปเหร่อกำลังพบเจอปัญหาใดอยู่
“บางทีคนก็ให้ความสำคัญกับด่านแรกคือบุคลากรการแพทย์ แต่ด่านสุดท้ายคือสัปเหร่ออย่างลุง ไม่มีใครสนใจเลยสักนิด” เขากล่าว

 

กำลังใจที่ยังทำงานนี้อยู่

“เราได้ช่วยเขา ได้ส่งเขา บางศพก็น่าสงสาร ไม่มีคนทำ สัปเหร่อมันหายากมาก คนลำบากมาก็อยากจะช่วย” เขากล่าว ลุงต๋อยมีความตั้งใจในการทำหน้าที่สัปเหร่อทุกวันนี้เพราะอยากสู้เพื่อทั้งตัวเองและคนอื่นที่กำลังเดือดร้อนจากโรคระบาด และในฐานะด่านสุดท้ายเขาไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้มากไปเกินกว่างานเผาศพและส่งผู้ป่วยสู่ภพภูมิที่ดี เขาจึงยอมเสี่ยงเป็นผู้รับผิดชอบและยังมีกำลังใจที่จะทำงานนี้ต่อไป
“คนเราตายก็ต้องให้คุ้มค่าหน่อย เราก็อยากจะทำหน้าที่ส่งเขาไปให้ได้”

 

ฝากเสียงถึงสังคม

ขณะนี้ลุงต๋อยได้รับความสนใจจากทั้งสื่อและประชาชนทั่วไป แต่ลุงต๋อยก็ยังกำชับว่าอยากให้ทุกคนให้ความสนใจและบริจาคกับโรงพยาบาลหรือวัดอื่นๆ ที่เดือดร้อนด้วยไม่ใช่แค่เขาคนเดียว เพราะจะมีประโยชน์กับผู้คนจำนวนมาก ส่วนเรื่องโรคโควิดที่ยังระบาดอยู่นั้นลุงต๋อยฝากให้ทุกคนดูแลตัวเองกันให้มาก โดยเฉพาะคนที่ยังอายุน้อยๆ อยากให้ช่วยเหลือกัน งดเที่ยว งดสังสรรค์ หากอยู่บ้านได้ก็จะดี เพราะส่วนใหญ่ศพที่ลุงต๋อยเผามักจะติดจากลูกหลานทั้งนั้น

ส่วนอาชีพ ‘สัปเหร่อ’ หรือ ‘ผู้ควบคุมการเดินทางข้ามมิติ’ ในแบบฉบับของลุงต๋อยนั้น เขาบอกว่า เขามักจะสอนลูกๆ เสมอว่างานนี้ถูกมองว่าเป็นอาชีพที่ไม่มีเกียรติหรือมีรายได้ที่สูง แต่เขาก็ทำมาได้โดยสุจริตและไม่คดโกงใคร จนสามารถส่งลูกบุญธรรมเข้าเรียนจนจบได้ อาชีพนี้จึงเป็นสิ่งที่เขาคิดว่ายังสำคัญในสังคมและควรได้รับเกียรติเช่นอาชีพอื่นๆ
“อย่าไปรังเกียจ อย่าไปกลัวเขา อย่าไปดูถูกเขา ขอร้องแค่นี้แหละ” ลุงต๋อยทิ้งท้ายถึงอาชีพสัปเหร่อที่เขาเป็น

 

ภาพลุงต๋อยทำหน้าที่สัปเหร่อออกสื่อแม้ยังไม่ได้รับวัคซีนไม่ได้สะท้อนแค่ความเสียสละและความจำเป็นของอาชีพนี้ แต่ยังสะท้อนถึงความล้มเหลวของการบริหารจัดการในหลายภาคส่วน ทำให้เกิดเป็นคำถามต่อยอดประเด็นอื่นๆ ตามมา ทั้งคำถามที่ว่า ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่มีหน่วยงานเข้ามาดูแลอาชีพนี้เลย ทั้งๆ ที่เป็นหนึ่งในอาชีพที่เสี่ยงติดโรคมากที่สุด? ประชาชนต้องบริจาคช่วยเหลือกันเองอีกนานแค่ไหน? และมีคนอีกที่คนที่ถูกทอดทิ้งเพียงเพราะแสงส่องไปไม่ถึง?

สูตรความสำเร็จกับ "ที่สุด" ของประเทศ

คอร์สออนไลน์กับผู้บริหาร ผู้นำทางความคิด แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน