Changpeng Zhao: เจ้าของ Binance จากผู้ลี้ภัย สู่เจ้าพ่อแพลตฟอร์มเทรดคริปโต

Home » Career Fact » Inspiration » Changpeng Zhao: เจ้าของ Binance จากผู้ลี้ภัย สู่เจ้าพ่อแพลตฟอร์มเทรดคริปโต

ในช่วงที่กระแสคริปโตเคอร์เรนซีกำลังมาแรง คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักแอปพลิเคชัน ‘Binance’ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีชื่อดังทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก
ไม่ว่าจะเป็นช่วงตลาดขาขึ้นหรือขาลง เขาคนนี้ก็สามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาส หรือพลิกโอกาสเป็นโอกาสที่ดีกว่าได้เสมอ และในวันนี้ Career Fact จะมาเล่าเรื่องราวของ CEO คนนี้ให้ทุกคนได้ฟังกัน และเขาคนนั้นก็คือ #Changpeng Zhao นั่นเอง

 

เด็กชายผู้ลี้ภัย

จ้าวฉางเผิง (Changpeng Zhao) หรือที่รู้จักกันในวงการคริปโตว่า #CZ เกิดและเติบโตขึ้นในประเทศจีนช่วงยุคการปฏิวัติทางวัฒนธรรม และเมื่อการปฏิวัติสิ้นสุดลง พ่อของเขาได้ไปเรียนต่อที่ประเทศแคนาดา หลังจากนั้นในปี 1989 ครอบครัวของเขาก็ได้วีซ่าทั้งครอบครัว พวกเขาจึงอพยพไปอยู่ที่ประเทศแคนาดา

ในช่วงที่ CZ อายุประมาณ 12-13 ปี พ่อของเขาซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งมาในราคา 7,000 ดอลลาร์แคนาดาในขณะนั้น ซึ่งนับว่าเป็นราคาที่แพงมากหรืออาจจะเป็นสิ่งที่แพงที่สุดที่พ่อของเขาเคยซื้อมาเลยก็เป็นได้ การที่พ่อของ CZ เป็นนักธรณีฟิสิกส์และโปรแกรมเมอร์ ทำให้ CZ ได้เห็นพ่อของเขาใช้โปรแกรมต่างๆ และเขียนโค้ดอย่าง Fortran, Pascal, C อยู่เสมอ เขาจึงคุ้นเคยกับสิ่งนี้มาตั้งแต่เด็ก

 

ก้าวเข้าสู่โลกเทคโนโลยี

พอขึ้นมัธยม CZ ก็มีโอกาสได้เรียนเขียนโปรแกรมในโรงเรียน เขารู้สึกชอบมันมากๆ แต่ไม่ได้มีเวลาให้มากนัก เพราะเขาต้องช่วยที่บ้านหาเงินตั้งแต่วัยรุ่น ทั้งทำงานพาร์ทไทม์ที่ McDonald’s และทำงานกะดึกที่ปั๊มน้ำมัน ด้วยความชื่นชอบในเทคโนโลยีเขาจึงเลือกเรียนสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัย McGill ตอนปี 3 เขาได้ฝึกงานกับบริษัทในประเทศญี่ปุ่น นับเป็นงานแรกของเขาที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้น โดยบริษัทนั้นทำงาน Outsourced ให้กับตลาดหลักทรัพย์โตเกียว หรือก็คืองานเกี่ยวกับการวางระบบการเทรดนั่นเอง

“ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเทคโนโลยีการเงิน (Fintech) หรือระบบการเทรดคืออะไร แต่แล้วผมก็ได้เรียนรู้จากงานนั้นว่า มีเงินจำนวนมากมายมหาศาลหมุนเวียนในระบบนี้ทุกวัน และเมื่อผมรู้ดังนั้น ผมก็ไม่เคยออกห่างจากอุตสาหกรรมนี้อีกเลย”

หลังจากนั้น เขาได้ย้ายไปทำงานที่นิวยอร์กกับ Bloomberg Tradebook ในตำแหน่งนักพัฒนาซอฟต์แวร์ให้กับระบบเทรด

CZ ในฐานะโปรแกรมเมอร์วัย 27 ปีได้รับการเลื่อนตำแหน่งถึง 3 ครั้งในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี เขาได้ขึ้นเป็นหัวหน้างานของทีมในนิวเจอร์ซีย์ ลอนดอน และโตเกียว แต่ CZ ก็รู้สึกเบื่อหน่ายและอยากลองทำสิ่งใหม่ๆ เขาจึงลาออกไปในปี 2005 และย้ายกลับไปอยู่เซี่ยงไฮ้เพื่อก่อตั้งบริษัทของตัวเองที่มีชื่อว่า Fusion System ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านการสร้างระบบซื้อขายหุ้นความถี่สูงที่เร็วที่สุดสำหรับโบรกเกอร์

 

เข้าสู่โลกคริปโต

ในปี 2013 CZ บังเอิญได้เล่นโปกเกอร์กับ บ๊อบบี้ ลี (Bobby Lee) ผู้เป็น CEO ของบริษัท BTC China ในขณะนั้น และนักลงทุน รอน เฉา (Ron Cao) ผู้ซึ่งทำงานกับบริษัทพาร์ทเนอร์ Lightspeed China พวกเขาได้พูดถึงไอเดียเกี่ยวกับบิตคอยน์ให้ CZ ฟังว่า

“ทำไมคุณไม่ลองเปลี่ยนรายได้สัก 10% ของคุณเป็นบิตคอยน์ล่ะ? เพราะมันมีโอกาสน้อยมากที่เงินก้อนนั้นจะมีมูลค่าลดลงจนกลายเป็น 0 แต่กลับมีโอกาสที่สูงมากทีเดียวที่มูลค่านั้นอาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า หรือแปลว่าคุณอาจจะมีรายได้รวมเพิ่มเป็น 2 เท่าเลย”

สำหรับ CZ นั่นเป็นข้อเสนอที่ซีเรียสมาก เขากลับไปดาวน์โหลด White Paper (เอกสารบอกรายละเอียด ข้อมูล และสถิติต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับผู้ลงทุน) ของบิตคอยน์มาอ่าน เขาเข้าใจคอนเซปต์ของบิทคอยน์และบล็อกเชนอย่างรวดเร็วจากพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่เขาชำนาญ แต่เขาไม่ได้ลงเงิน 10% ไปในบิตคอยน์ในทันทีตามที่บ๊อบบี้บอก CZ ลองซื้อบิตคอยน์มาจำนวนหนึ่ง และพอเขาได้ลองใช้บิตคอยน์ในการแลกเปลี่ยนหรือซื้อของเป็นครั้งแรก เขาก็รู้สึกชอบมันในทันที และตอนนั้นเองคือตอนที่เขาตัดสินใจขายอพาร์ตเมนท์ในเซี่ยงไฮ้เพื่อนำเงินมาลงในบิตคอยน์ แม้ว่าราคาของบิตคอยน์ในขณะนั้นจะลดลงจาก 600 ดอลลาร์เหลือ 200 ดอลลาร์หลังจากที่เขาซื้อแทบจะทันที แต่เขายืนยันที่จะสู้และถือบิตคอยน์ต่อไป

“ผมขายพาร์ตเมนท์ของผมเพื่อซื้อบิตคอยน์ ผมลาออกจากงานเพื่อเข้าร่วมกับ Blockchain.info”

ในตอนนั้น Blockchain.info มีเพียงผู้ก่อตั้ง คือ เบน รีฟส์ (Ben Reeves) และ CEO นิค แครี่ (Nic Cary) ดังนั้น CZ จึงนับเป็นคนที่ 3 ที่เข้ามาทำงานกับโปรเจกต์นี้ นอกจากนั้นแล้วเขายังได้ร่วมงานกับอีกหลายโปรเจกต์เกี่ยวกับคริปโต หนึ่งในนั้นคือการได้เป็น CTO ของบริษัท OKCoin ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี

 

จุดเปลี่ยนของ CZ และจุดเริ่มต้นของ Binance

“ผมเชื่อในอนาคตของบิตคอยน์มาเสมอ แต่คุณก็ควรระลึกไว้เสมอเช่นกันว่า ถ้าสมมติว่าผมคิดผิดแล้วมูลค่าของบิตคอยน์กลายเป็น 0 ขึ้นมาคุณจะทำยังไงต่อ แต่หลังจากผ่านวัฏจักรของบิตคอยน์มารอบหนึ่ง คุณจะเรียนรู้ที่จะมองมันในระยะยาว”

“ทุกวันนี้ผมไม่ค่อยห่วงเรื่องความผันผวนของราคาในระยะสั้นมากนัก ผมโฟกัสแค่การมองในระยะยาวเท่านั้น”

ในปี 2017 CZ ลาออกจาก OKCoin และเริ่มสร้างแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซีของตัวเองที่สามารถแลกเปลี่ยนโดยไม่ผ่านเงินกระดาษ (Fiat currencies) และไม่ผ่านสถาบันการเงินใดๆ ด้วยการผสานประสิทธิภาพเทคโนโลยีความถี่สูงเข้ากับแพลตฟอร์มการเทรด และให้คำมั่นสัญญาเรื่องจรรยาบรรณในคริปโตเคอร์เรนซี

ในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน ‘Binance’ ก็ได้เปิดตัวขึ้นอย่างเป็นทางการหลังจากระดมทุนครั้งใหญ่ผ่าน ICO (Initial Coin Offering) หรือคือการออกเหรียญดิจิทัลแลกกับเงินสดจากการขายเหรียญโทเคนได้ 200 ล้านเหรียญ คิดเป็นเงิน 15 ล้านดอลลาร์

 

ขึ้นเป็นอันดับ 1

การขึ้นเป็นอันดับ 1 ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในช่วงแรก Binance ต้องเผชิญกับปัญหาสุดท้าทาย เมื่อเหรียญ BNB ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลของ Binance มีมูลค่าดิ่งลงจนต่ำกว่าราคา ICO ทำให้บริษัทต้องรีบแก้ปัญหานี้อย่างเร่งด่วน

CZ เชื่อว่าทุกคนบนโลกต้องสามารถเลือกและใช้เงินตราได้อย่างอิสระ ทั้งเงินกระดาษและคริปโตเคอร์เรนซี ทั้งการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน การทำธุรกรรม และการลงทุน จึงเป็นที่มาของพันธกิจ (Mission) ของ Binance คือ ‘การเพิ่มอิสรภาพทางการเงิน’

สิ่งที่ CZ ได้พยายามพัฒนาจนทำให้ Binance เหนือกว่าแพลตฟอร์มอื่น คือ การมี Decentralized Operation โดยมีศูนย์บริการลูกค้าทั่วโลก และพัฒนาแอปให้ลองรับธุรกรรมจำนวนมาก มีหน้าตาแอปฯ ที่ใช้งานง่าย และค่าธรรมเนียมต่ำ เขาได้แนวคิดนี้มาจากปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2017 ซึ่งเป็นช่วงที่บิตคอยน์ราคาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ผู้คนต่างแย่งกันซื้อจนเว็บไซต์ที่ให้บริการล่ม แล้วที่แย่ไปกว่านั้นคือไม่มีแพลตฟอร์มใดเลยที่มีศูนย์บริการลูกค้า

วิกฤตสำหรับเจ้าอื่นกลายเป็นโอกาสของ Binance เมื่อตลาดคริปโตเข้าสู่ช่วงขาลงตั้งแต่ต้นปี 2018 แต่ Binance กลับทำรายได้ได้มากอย่างน่าประหลาดใจ ทั้งนี้เป็นเพราะแพลตฟอร์มรายย่อยต่างพากันปิดตัวลง และผู้คนหันมาใช้ Binance กันมากขึ้นจากข้อแตกต่างที่ได้กล่าวมาข้างต้น เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ Binance ได้ครองส่วนแบ่งตลาดได้อย่างรวดเร็ว

หลังจากการเร่งพัฒนาระบบ ในเวลาไม่ถึง 180 วันหลังจากเปิดตัวแอปพลิเคชัน Binance ก็ดังเป็นพลุแตกและได้ก้าวขึ้นมาเป็นแพลตฟอร์มในการแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซีที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก และยังคงอยู่ในตำแหน่งนั้นมาจนถึงทุกวันนี้

“ไอเดียไม่ใช่สิ่งที่หายากมากขนาดนั้น เพราะคนส่วนมากก็มีไอเดีย แต่การลงมือทำให้สำเร็จต่างหากที่เป็นส่วนที่ยาก”

ในปี 2018 นิตยสาร Forbes ได้จัดอันดับให้ จ้าวฉางเผิง ติด Top 3 ของคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกจากคริปโตเคอร์เรนซี และในปัจจุบันเขามีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 1,900 ล้านดอลลาร์’

 

สิ่งที่มีค่าที่สุด

แม้ CZ จะเป็นผู้ที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งของโลก แต่เขากลับไม่มีแม้แต่รถหรือบ้านเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่เรียกได้ว่าแพงที่สุดที่เขาซื้อให้กับตัวเองก็คือโน้ตบุ๊คดีๆ สัก 5-6 เครื่อง เพราะเขามักจะทำมันพังอยู่เสมอ เหตุผลที่เขาไม่มีบ้านหรือรถหรือสิ่งของฟุ่มเฟือยเป็นเพราะว่า CZ ให้ความสำคัญกับสภาพคล่องเป็นอย่างมาก แต่บ้านและรถไม่สามารถแลกเปลี่ยนกลับมาเป็นเงินได้ง่ายๆ เขาจึงเลือกที่จะเช่าอพาร์ตเมนท์หรือพักตามโรงแรมต่างๆ เพราะเขามองว่าสิ่งนั้นมีสภาพคล่องที่มากกว่าการซื้อบ้าน

นอกจากนี้ CZ กล่าวว่าสินทรัพย์เกือบ 100% ของเขาอยู่ในรูปคริปโตเคอร์เรนซี โดยเขาเพียงแค่ต้องการเก็บคริปโตไว้ และยังไม่มีแพลนที่จะนำคริปโตเหล่านี้ไปแลกเป็นเงินสดในอนาคต

“ผมเชื่อว่าในอนาคตจะมีอีกหลายบริษัทเกิดขึ้นเช่นเดียวกับ Binance ที่ซึ่งผู้ก่อตั้งได้นำวิสัยทัศน์มาใช้อย่างเตมที่ โดยที่สนใจเสียงบ่นจากคนภายนอกน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

ดังนั้นแล้ว ความสำเร็จของ CZ ก็มีส่วนใหญ่ๆ มาจากการที่เขากล้าที่จะทำในสิ่งที่เขาเชื่อมั่น แม้ว่าในอดีตผู้คนจะมองบิตคอยน์และคริปโตเคหอร์เรนซีเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่ CZ กลับมีความเชื่อที่ว่าคริปโตเคอร์เรนซีและบล็อกเชนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น และยังพร้อมที่จะเติบโตจนกลายเป็นกระแสหลักในอนาคต บวกกับการที่เขาเลือกที่จะสร้างโอกาสให้ตนเองและบริษัทได้อย่างถูกเวลา และไม่ว่าในอนาคตโลกของคริปโตเคอร์เรนซีจะเติบโตหรือเป็นไปในทิศทางใดก็คงไม่มีใครรู้ แต่ในตอนนี้ CEO คนนี้ ได้ประสบความสำเร็จไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

อ้างอิง
https://bloom.bg/3wmWUKz
https://bit.ly/3pQMHni
https://bit.ly/2RO7RFO

สูตรความสำเร็จกับ "ที่สุด" ของประเทศ

คอร์สออนไลน์กับผู้บริหาร ผู้นำทางความคิด แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน