หมอตั้ม ดิษกุล ประสิทธิ์เรืองสุข: แพทย์ผู้หลงใหลการทำอาหาร สู่เส้นทางเชฟ

Home » Career Fact » Interview » หมอตั้ม ดิษกุล ประสิทธิ์เรืองสุข: แพทย์ผู้หลงใหลการทำอาหาร สู่เส้นทางเชฟ

วันนี้ Career Fact จะมาเล่าเรื่องราวของ ‘หมอตั้ม’ ดิษกุล ประสิทธิ์เรืองสุข เจ้าของร้าน Atomic Pills และผู้เข้าร่วมรายการทำอาหาร Masterchef Thailand ซีซั่น 2 แพทย์หนุ่มผู้หลงใหลการทำอาหาร และต้องการเสิร์ฟอาหารที่ดีมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ

ติดตามความหลงใหลในการทำอาหารและการบาลานซ์อาชีพหมอที่สุดจะแตกต่างได้ที่นี่

 

ความฝันกับความเป็นไปได้

ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหลายคนที่จะเปลี่ยนความชอบให้เป็นอาชีพได้ ความชอบและความฝันของหมอตั้มที่มีมาตลอดคือการทำอาหารและใฝ่ฝันอยากเป็นเชฟ เขาคิดเสมอว่าถ้าสามารถทำอาหารเป็นอาชีพได้ก็คงจะดี ถึงขนาดที่ปรึกษาพ่อกับแม่ว่าอยากเรียนเชฟ แต่ในสภาพแวดล้อมและสังคมที่โอกาสไม่ได้มากมายเท่าปัจจุบัน ทำให้หมอตั้มในตอนนั้นจำใจต้องเปลี่ยนเส้นทาง

แม้ชีวิตของหมอตั้มจะชื่นชอบและคลุกคลีกับการทำอาหาร มาตั้งแต่เด็ก แต่ด้วยชีวิตในโรงเรียนมัธยมชายล้วนและความเป็นไปได้หลายๆ อย่างจึงทำให้เขาไม่สามารถเลือกเส้นทางได้มากนัก เพื่อนๆ รอบตัวที่เรียนสายวิทย์มาด้วยกันก็สนใจเรียนต่อแต่คณะวิศวะ บัญชี เภสัช เมื่อเขาย้อนกลับมาดูความเป็นไปได้ของตัวเองแล้วจึงตัดทีละตัวเลือก ก่อนจะลงเอยในเส้นทางของการเรียนต่อเป็นแพทย์ ที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล แต่เขาก็ยังหมดเวลาว่างไปกับการทำอาหารอยู่เสมอ

 

ความหลงใหลต้องฝึกฝนเสมอ

ความหลงใหลในการทำอาหารของหมอตั้มทำให้เราอยากรู้ว่าความฝันที่อยากจะเป็นเชฟสำหรับเขาในตอนนั้นชัดเจนในระดับไหน หมอตั้มก็ให้คำตอบกับเราว่า “เรื่องอาหารแค่รู้สึกว่าชอบ เราก็ทำอาหารแค่ในบ้านเรา ทำให้คนในครอบครัวทาน ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเก่งรึเปล่า การที่จะรู้ว่าตัวเองเก่งได้นั้นต้องมีคนมาตัดสินเราก่อน” หมอตั้มเล่าให้ฟังว่าความสนใจเรื่องอาหารของเขาส่วนใหญ่เป็นอาหารฝรั่ง เพราะตั้งแต่เด็กจะซื้อหนังสือทำอาหารที่เป็นอาหารฝรั่ง

แน่นอนว่าการเรียนหมอไม่สามารถหยุดความชื่นชอบที่จะทำอาหารของเขา แค่เปลี่ยนรูปแบบให้กลายเป็นกิจกรรมยามว่างเสมือนงานอดิเรก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีเวลาเมื่อเทียบกับตอนเรียนอยู่ชั้น ม.ปลาย ช่วงเรียนแพทย์เป็นช่วงเวลาที่หมอตั้มบอกว่ามันหนักมาก ไม่มีเวลาว่างฝึกทำอาหารสักเท่าไร แต่ความชอบในการทำอาหารของหมอตั้มนั้นบ้างก็อยู่ในระดับที่เป็นงานอดิเรกและบ้างก็พุ่งสูงเป็นความความคลั่งไคล้ โดยในช่วงติวสอบหนักๆ เขาทำอาหารเป็นงานอดิเรก แต่เมื่อปิดเทอมและมีเวลา เขาก็ถือโอกาสที่จะทำมันอย่างจริงจัง

หมอตั้มบอกว่าการทำอาหารแม้จะไม่มีเวลาได้ฝึกฝนทักษะบ่อยๆ สักเท่าไร แต่เขามองว่ามันเหมือนกับการปั่นจักรยานหรือการว่ายน้ำ ที่เมื่อกลับมาทำจากที่หายไปนาน ก็จะต่อติดได้ง่าย แต่ต่อให้มีช่วงเวลาที่ได้ลงมือทำน้อยลง หมอตั้มก็ไม่ทิ้งเวลาและโอกาสในการทดลองชิมอาหารร้านต่างๆ เขามักจะหารายชื่อร้านอาหารในนิตยสารเพื่อตามไปชิม ไม่ว่าจะเป็นร้านเปิดใหม่หรือร้านมิชลินสตาร์ เขาก็จะตามไปชิมเพื่อทดสอบความอร่อยอยู่ตลอด ซึ่งเขามองว่าเป็นการเรียนรู้รสชาติไปในตัว

หมอตั้มบอกเคล็ดลับในการฝึกฝนสำหรับเขาว่าเวลาที่สั่งอาหารมาทาน ในหัวเขาก็จะคิดไปด้วยว่าจานนั้นใส่อะไรลงไปบ้าง แล้วจดบันทึกไว้ในโทรศัพท์มือถืออยู่เสมอ จนเมื่อเขามีเวลาก็จะกลับมาทำเองที่บ้าน

 

ชีวิตนักเรียนหมอและวิสัญญีแพทย์

ชีวิตการเรียนแพทย์ที่หนักหนาทำให้หมอตั้มต้องห่างหายจากโลกของการทำอาหารไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาใช้เวลาไปกับการเรียนและการอ่านหนังสือสอบ แม้จะปรับตัวได้ในช่วงชั้นปี 3 แต่การสอบเกือบทุกเดือนทำให้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการเตรียมตัวสอบ ก่อนที่ปี 4-5 ที่เริ่มต้องใกล้ชิดกับคนไข้ ยิ่งทำให้เวลาว่างน้อยลง แต่แม้การเรียนแพทย์จะแตกต่างจากศิลปะการทำอาหารที่หมอตั้มหลงรัก เส้นทางนี้เป็นอีกเส้นทางที่หมอตั้มตั้งใจว่าจะทำให้ดีที่สุด

ด้วยความสนใจและมีความชอบในวิชาที่เกี่ยวกับสรีรวิทยา ระบบการหายใจ (Respiratory System) และระบบไหลเวียนเลือด (Cardiovascular System) แต่สุดท้ายแล้วหมอตั้มเล่าว่าเขาเลือกเรียนวิสัญญี เพราะนอกจากความชอบแล้ว เขาให้ความสำคัญเรื่องไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตควบคู่ไปกับการทำอาหารที่เขารัก จึงเลือกวิสัญญีที่มีเวลาการทำงานแบบชัดเจน และตอบโจทย์ในการใช้ชีวิตของหมอตั้มมากกว่า

หมอตั้มอธิบายให้เราฟังว่า วิสัญญีแพทย์ ในความเข้าใจง่ายๆ คือหมอที่คอยช่วยระงับความรู้สึกขณะการผ่าตัดและคอยช่วยเหลือให้การผ่าตัดราบรื่น แต่ในระยะหลังได้พัฒนาจนมีส่วนร่วมในการดูแลหลังการผ่าตัดเพื่อให้คนไข้ปลอยภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งหมอตั้มต้องดูแลคนไข้ที่ป่วยในโรคที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ เช่น ผู้ป่วยมะเร็งที่จะมีอาการปวดตามร่างกายส่วนต่างๆ หมอตั้มบอกว่าคนที่เป็นวิสัญญีจะใช้องค์ความรู้ทั้งหมดมาช่วยรักษาและระงับอาการปวดให้คนไข้ และดูแลรวมถึงอาการออฟฟิศซินโดรม ปวดหลังเรื้อรังหรือปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง ที่วิสัญญีมีความเชี่ยวชาญในการฉีดยาส่วนที่ใกล้เส้นประสาทหรือใกล้จุดสำคัญของร่างกาย ทำให้มีบทบาทในการรักษาโรคแนวนี้มากขึ้นเช่นกัน

แต่ในช่วงที่เรียนเฉพาะทางอยู่นั้น ก็เป็นช่วงที่หมอตั้มได้ต่อยอดความรู้ด้านการทำอาหารที่ชอบและสมัครเข้ารายการมาสเตอร์เชฟ ประเทศไทย ซีซั่น 2 ไปด้วย เพราะเขาไม่อยากทิ้งเวลาและโอกาสในการเรียนรู้เรื่องการทำอาหารที่เขาชื่นชอบ

 

เมื่ออยู่ถูกที่ทุกสิ่งก็ดีเสมอ

“ชอบทำอาหาร แทบจะเป็นเหตุผลเดียวที่ตัดสินใจสมัครเลย”

นั่นคือเหตุผลที่ง่ายที่สุดสำหรับหมอตั้มสำหรับการสมัครเข้ารายการมาสเตอร์เชฟ ประเทศไทย ซีซั่น 2 จนทำให้เราหลายคนรู้จักเขา

หมอตั้มบอกว่านอกจากเหตุผลที่แสนจะง่ายดายและซื่อสัตย์อย่างความชอบแล้ว รายการยังให้โอกาสผู้ชนะสามารถมี Cookbook หรือตำราปรุงอาหารเป็นของตัวเองได้ เขาจึงสนใจที่จะเข้าร่วม เพราะอีกหนึ่งความใฝ่ฝันของหมอตั้มคือการมี Cookbook เป็นของตัวเอง ซึ่งเขามีความผูกพันกับการอ่าน Cookbook มาตั้งแต่เริ่มทำอาหารในตอนเด็กๆ เขาจึงไม่ลังเลที่จะใช้โอกาสนี้ต่อเติมความฝันของเขา

นอกจากประสบการณ์และการมี Cookbook แล้ว หมอตั้มบอกว่าเขาเรียนรู้จากรายการนี้เยอะมาก สมัยก่อนนั้นหมอตั้มรู้เพียงว่าเขาทำอาหารเป็น ทำอาหารรสชาติดี แต่เขาไม่ได้เคยมีใครมาตัดสินว่าฝีมืออยู่ระดับไหน ในรายการที่มีคนมาตัดสินทำให้เขารู้ว่าจะต้องพัฒนาตรงไหนและฝึกฝนตรงไหนเพิ่มเติม รายการนี้คือสิ่งที่หมอตั้มมองว่าเป็นการอยู่ถูกที่ ได้อยู่ร่วมกับผู้เข้าแข่งขันทุกคนที่รักการทำอาหาร ได้คุยภาษาเดียวกัน เขาจึงรู้สึกว่าเป็นสังคมที่แลกเปลี่ยนการทำอาหารกัน ได้คำแนะนำและรู้จักคนเยอะขึ้น ทำให้เขาเติบโตและมุ่งมั่นที่จะเลือกเดินทางสายนี้ไปด้วย

 

เรียนรู้กับธุรกิจร้านอาหาร

ด้วยสถานการณ์โควิด ร้านอาหาร Atomic Pills ของหมอตั้มและเพื่อนอีกสองคนจำเป็นจะต้องหยุดชะงัก ซึ่งร้านอาหารนี้เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่หมอตั้มต้องการทำให้ประสบความสำเร็จ แต่หมอตั้มบอกว่า เป้าหมายที่จะทำให้อาหารอร่อยและกินแล้วได้สุขภาพอยู่ มันไม่เพียงพอต่อการทำธุรกิจร้านอาหาร เพราะการทำร้านอาหารต้องอาศัยการทำความเข้าใจและประสบการณ์อย่างมาก แม้จะทำการสำรวจตลาดว่าคนอยากกินอะไร ชอบแบบไหนมาอย่างดีแล้ว แต่พอเปิดจริงๆ ทุกอย่างกลับตรงข้ามกับที่เขาและเพื่อนๆ สำรวจมาทั้งหมด “พอเปิดร้านจริงๆ มันคนละเรื่อง ทุกอย่างต้องเรียนรู้เองทั้งหมด” หมอตั้มกล่าว

ความตั้งใจของหมอตั้มคือเมื่อร้านกลับมาเปิดใหม่อีกครั้ง เขาจะใช้โมเดลธุรกิจใหม่ในการทำร้าน เขาเห็นว่าต้องปรับกลยุทธ์ใหม่หมด ต้องประชุมกันบ่อยมาก และต้องเรียนรู้การบริหารคน ซึ่งหมอตั้มมองว่าเป็นเรื่องที่ควบคุมยากมาก ต้องดูให้ลึกและละเอียดมากขึ้น ทั้งค่าจ้างและการดูแล ถึงอย่างไรหมอตั้มบอกว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ทำให้เขาเองได้เรียนรู้ว่าถ้าเปิดร้านต่อไปในอนาคตจะทำยังไงให้รอด ให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น การทำอาหารอร่อยหรือการเป็นเชฟชื่อดังเป็นคนละเรื่องกับการเปิดร้านอาหาร และตลาดธุรกิจร้านอาหารในปัจจุบันมีการแข่งขันในตลาดร้านอาหารเยอะมาก การเปิดร้านให้ดังหรือเป็นที่นิยมจึงเป็นเรื่องยากในมุมมองของหมอตั้ม เขาบอกว่าเวลาที่มีร้านดังขึ้นมาทุกคนอาจจะเห็นวิธีการหรือโอกาสที่จะเปิดร้านอาหารเพื่อเข้ามาแข่งขัน และทำตาม เพราะฉะนั้นหมอตั้มจึงมองว่าเรื่องเมนูที่แตกต่างจะเป็นเรื่องสำคัญที่ร้านจะสามารถแข่งขันกันได้ ตลาดในทุกวันนี้จะเล็กลงไปเรื่อยๆ แต่ข้อดีก็คือลูกค้าได้อาหารที่ดีและมั่นใจว่าอร่อยมากขึ้น รวมทั้งมีตัวเลือกที่เยอะขึ้น

อีกหนึ่งบทบาทของหมอตั้มในทุกวันนี้คือการเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้ที่สนใจเปิดร้านอาหาร โดยมีหน้าที่คอยให้คำปรึกษา ดีไซน์เมนูอาหารและเทรนด์คนให้ รวมทั้งแชร์ประสบการณ์เปิดร้านอาหารและการแก้ปัญหาต่างๆ พร้อมที่จะแลกเปลี่ยนมุมมองซึ่งกันและกัน หมอตั้มเล่าว่าอาชีพนี้เป็นการคิดเมนูอาหารตามโจทย์ที่ลูกค้าต้องการ เช่น ถ้าครัวซองต์ที่ดีต่อสุขภาพคือโจทย์ หมอตั้มก็จะเป็นคนคิดเมนูขึ้นมาให้ตอบโจทย์ และแนะนำเรื่องการตลาดให้ด้วย ซึ่งทั้งหมดคือสิ่งที่หมอตั้มทำด้วยความชื่นชอบมาตั้งแต่ต้นจนสามารถเติบโตในหลายเส้นทาง

 

Multitasking ไม่ใช่ปัญหา

สำหรับหมอตั้มแล้วการทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน หรือ Multitasking ไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหาเหมือนที่ผู้ใหญ่ในสมัยก่อนมอง ซึ่งในปัจจุบันบางคนมีงานประจำและมีงานเสริมเป็นงานอดิเรกสร้างรายได้ หมอตั้มมองว่าข้อดีก็คือว่าเราสามารถทำได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน แต่ก็ต้องแบ่งเวลาและจัดการเวลาให้ดี รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของงาน และทำทุกงานที่รับมาให้สำเร็จลุล่วง

ความคิดแบบเดิมๆ อาจจะมองว่าทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันไม่ดี แต่หมอตั้มบอกว่าต้องมีสมาธิ พยายามโฟกัสและตั้งใจในทุกสิ่งที่ทำ เขาเชื่อว่าจะสามารถทำให้ออกมาดีได้

 

ประสบการณ์ในสถานการณ์โควิด

อีกหนึ่งมุมมองในด้านการทำงานในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ในฐานะที่หมอตั้มเป็นวิสัญญีแพทย์และเรียนโรงเรียนแพทย์ หมอตั้มเล่าว่าช่วงที่ผ่านมามีประสบการณ์รับเคสที่ค่อนข้างหนักพอสมควร โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ป่วยที่มีอาการปอดอักเสบหรือจำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจและเครื่องช่วยหายใจ ซึ่งบทบาทของหมอตั้มก็จะดูแลเรื่องการใส่ท่อช่วยหายใจเพราะมีความเชี่ยวชาญที่สุด เปรียบเหมือนด่านหน้าของการดูแลผู้ป่วยในสถานการณ์ปัจจุบัน

แต่ในภาพรวมหมอตั้มให้ความเห็นเพิ่มเติ่มว่าวงการสาธารณสุขไทยในตอนนี้ไม่ใช่ว่าทุกโรงพยาบาลจะมีความพร้อมในเรื่องอุปกรณ์การแพทย์ครบครันมากพอ เมื่อส่วนหนึ่งภาครัฐไม่ได้เตรียมพร้อมอย่างมากพอในเรื่องของทรัพยากรทางการแพทย์ เมื่อคนไข้ที่อาการหนักเพิ่มขึ้นเข้ามารักษาก็ใช้ระยะเวลาการรักษานานทำให้ทรัพยากรลดลง หมอตั้มมองว่าจุดนี้เองที่มันใกล้จะสุดความสามารถของสาธารณสุขไทยในการรับมือ ดังจะเห็นได้จากตัวเลขของผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหากไม่ต้องการให้สถานการณ์แย่กว่านี้อาจจะต้องปรับเรื่องนโยบายแบบตั้งรับกับสถานการณ์โควิดที่เป็นอยู่ให้ดีขึ้น

และสิ่งที่หมอตั้มอยากจะฝากถึงทุกคนในช่วงโควิดคือการดูแลเรื่องความปลอดภัยส่วนบุคคลให้มากที่สุด หมอตั้มย้ำว่าต้องใส่หน้ากากทุกครั้ง ล้างมือทุกครั้งหลังทำกิจกรรมหรือจับอะไรก็ตามที่ไม่คุ้นเคย เช่น ราวบันได ธนบัตร ไม่ใช่แค่โควิด แต่เชื้อโรคอื่นๆ ก็มักจะมาด้วย

“ต้องล้างมือให้บ่อยขึ้น ใช้เจลล์ล้างมือแอลกอฮอล์ให้บ่อยขึ้น ในช่วงนี้ที่มีการระบาดค่อนข้างสูง จึงต้องระมัดระวังการพบปะผู้คนให้มาก คนที่ไม่สามารถ Work From Home ก็ต้องป้องกันตัวเองให้มากขึ้น” หมอตั้มฝากความห่วงใยทิ้งท้าย

ไม่ใช่เพียงแต่คนทั่วไป แต่หมอตั้มยังเสริมกำลังใจให้บุคลากรในวงการแพทย์ทุกคนว่า

“สุดท้ายยังมีคนที่เขายังต้องการความช่วยเหลือจากบุคลากรทางการแพทย์อยู่ ถ้าไม่ใช่เราแล้วใครจะทำ เรายังต้องสู้ต่อไปเรื่อยๆ”

 

ปลายทางไม่เคยหยุดนิ่ง

สุดท้ายเมื่อถามถึงอนาคตและเป้าหมายของหมอตั้มแล้ว ในอนาคตเขามุ่งมั่นที่จะทำอาหารต่อไปเรื่อยๆขณะเดียวกันเขาก็ยังให้ความสำคัญกับด้านหมอที่ตั้งใจเรียนต่อไปจนกว่าจะจบเฉพาะทาง ซึ่งเขายังสามารถบาลานซ์ทั้งสองเส้นทางได้ดีไม่แพ้กัน

หมอตั้มยังยืนยันคำตอบอย่างหนักแน่นว่าเป้าหมายสำหรับเขาก้าวต่อไปคือการเป็นเจ้าของร้านอาหาร ซึ่งเขารู้สึกว่ายังต้องการประสบความสำเร็จให้ได้ สำหรับการเปิดร้านอาหารและการเป็นเชฟของหมอตั้มนั้น เขามองว่าเป้าหมายที่สำคัญนอกจากอยากให้ลูกค้าได้ทานอาหารที่อร่อยแล้ว อีกสิ่งที่เขาหวังคืออยากให้ลูกค้าได้รับคุณประโยชน์จากอาหารแต่ละเมนูที่เขาสร้างสรรค์ในบทบาทเชฟของหมอตั้ม

สูตรความสำเร็จกับ "ที่สุด" ของประเทศ

คอร์สออนไลน์กับผู้บริหาร ผู้นำทางความคิด แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน