“คุณจะทำเอสเพรสโซ่ที่ดีได้ยังไง ในเมื่อคุณยังไม่รู้เลยว่ากาแฟที่แท้จริงเป็นแบบไหน”
นี่คือคำพูดของภรรยาคนนึงที่หยอกล้อความมุ่งมั่นของสามี จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของนวัตกรรมที่พลิกโฉมวงการกาแฟไปตลอดกาล สามีคนนั้นมีชื่อว่า Éric Favre (เอริค ฟาร์บ)
วิศวกรที่Nestle
ย้อนกลับไปในปี 1975 เอริค ฟาร์บ เด็กหนุ่มจากสวิตฯ พึ่งเรียนจบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์และกำลังหาตำแหน่งงานที่เขาสนใจ ในวัยเด็ก พ่อของเอริคพร่ำบอกตลอดว่าถึงจะเป็นวิศวกรที่ประดิษฐ์สิ่งล้ำเลิศขึ้นมาได้แต่ถ้าขายไม่เป็นก็ไม่มีความหมาย
ณ ตอนนั้น บริษัทกาแฟชื่อดังอย่าง Nestle กำลังต้องการพนักงานในแผนกบรรจุภัณฑ์หลายอัตราเพราะตลาดกาแฟสำเร็จรูปกำลังเป็นที่นิยมและเติบโตอย่างมาก เอริคจึงเลือกสมัครงานในแผนกนี้เพื่อจะได้เรียนรู้ทั้งเรื่องการผลิตและการขาย
เนื่องจากกาแฟสำเร็จรูปประสบความสำเร็จอย่างมาก จึงทำให้หลายๆ คนคิดว่าเครื่องชงกาแฟนั้นล้าหลังไปแล้ว เราจะใช้เครื่องชงกาแฟให้ยุ่งยากไปทำไม ในเมื่อกาแฟสำเร็จรูปใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็ได้กาแฟที่อร่อยแล้ว อย่างไรก็ตาม เอริคกลับไม่คิดแบบนั้น
ปิ๊งสูตรลับ
เอริคมีความกระตือรือร้นที่จะสร้างสิ่งที่ดีกว่าขึ้นมา เขาบอกกับภรรยาว่าเขาจะต้องทำให้กาแฟเอสเปรซโซ่ที่ทำได้ง่ายที่สุดและอร่อยกว่ากาแฟสำเร็จรูปให้ได้ ทว่าความมุ่งมั่นนี้กลับทำให้ภรรยาเขาถึงกับกลั้นขำไม่อยู่ เพราะเธอคิดว่าเอริคยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากาแฟที่แท้จริงเป็นอย่างไร
ด้วยความที่ภรรยาของเขาเป็นคนอิตาลี เอริคจึงได้ศึกษารสชาติกาแฟจากร้านขึ้นชื่อจำนวนมากในอิตาลีจนกระทั่งพบร้านหนึ่งในโรมที่มีคนต่อแถวรอซื้อกันเป็นโขยงในขณะที่ร้านใกล้เคียงแทบไม่มีคน เขาไม่รอช้าที่จะเข้าไปสืบหาเคล็ดลับว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้กาแฟที่นี่ขายดีขนาดนี้
สิ่งที่เขาเห็นคือบาริสต้าในร้านพยายามใช้สมาธิอย่างหนักอยู่คือความสมดุลระหว่างการบดและการบรรจุ หลังจากนั้นเขาก็รับรู้ว่าสูตรในการทำคือการผสมผสานอย่างสมดุลของแรงดันออกซิเจนผสมกับกาแฟจะทำให้ได้กาแฟที่สกัดมาอย่างกลมกล่อมและยังคงกลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟไว้
กาแฟแคปซูล
เอริคนำสูตรที่ค้นพบไปนำเสนอที่ Nestle ทันที แต่ทางบริษัทกลับไม่สนใจในไอเดียของเขาเพราะกำลังแข่งขันในตลาดกาแฟสำเร็จรูปอย่างเต็มที่ โชคดีที่อย่างน้อยเอริคก็ได้รับโอกาสให้พัฒนาโปรเจกต์นี้ต่อ เขาพยายามคิดหารูปแบบของแพ็กเกจที่จะเปลี่ยนกระบวนการซับซ้อนนี้ให้ง่ายขึ้น
ในตอนแรก เอริคออกแบบแพ็กเกจเป็นแคปซูลครึ่งทรงกลมเพราะสามารถรับแรงกดดันที่ต้องผ่านเมล็ดกาแฟได้ ส่วนเครื่องชงกาแฟแคปซูล เขาก็ออกแบบให้มันเล็กลงกว่าปกติ เมื่อเขามั่นใจแล้วว่าดีไซน์นี้ได้ผล เขาจึงนำเสนอเรื่องแคปซูลและเครื่องชงกาแฟกับหัวหน้าแผนกทันที จากนั้นไม่นาน Nestle ก็ตอบรับไอเดียของเขาและจัดการจดสิทธิบัตรของนวัตกรรมนี้ และแล้ว Nespresso ก็เกิดขึ้น
เอริคต้องใช้เวลาพัฒนาทั้งแคปซูลและเครื่องชงกาแฟของเขาถึง 10 ปี ซึ่งประจวบเหมาะพอดีกับความนิยมในการดื่มกาแฟเอสเปรสโซ่ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงได้รับมอบหมายให้นำผลิตภัณฑ์ของเขาบุกตลาดทันที และเป็นช่วงเวลานี้เองที่ทำให้เขาได้ใช้ความสามารถทางธุรกิจอย่างที่พ่อของเขาเคยย้ำบอกตั้งแต่เด็กๆ
กลยุทธ์ของเอริคคือนำเครื่องชงกาแฟไปตั้งในที่ที่คนพลุกพ่านเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้หญิง เขาจึงเลือกพิกัดที่ร้านทำผมในกรุงโรม ตามด้วยถนนช็อปปิ้งในโลซาน และในอีกหลายประเทศ นอกจากนั้น เขายังเสนอขายผลิตภัณฑ์นี้ให้กับออฟฟิศที่มีพื้นที่ใช้สอยไม่เพียงพอสำหรับเครื่องชงกาแฟแบบปกติอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม กลยุทธิ์ของเขาก็สร้างยอดขายไม่ได้เท่าที่ควร ด้วยเหตุนี้ Nestle จึงจ้างผู้อำนวยการฝ่ายขายคนใหม่มาดูแลเรื่องการทำธุรกิจ และปล่อยให้เอริคได้โฟกัสอยู่กับเรื่องการผลิตเพียงอย่างเดียว
ตัดสินใจลาออก
เวลาผ่านไป เอริคก็ถูกแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการทั่วไปของ Nespresso แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งเขาประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีคนเกลียดเขาเท่านั้นเพราะบริษัทอาจยกเลิกการผลิตสินค้าบางตัวเพื่อมาทุ่มให้กับกาแฟแคปซูลของเอริคแทน นอกจากนั้น เขายังมีความขัดแย้งกับผู้อำนวยการฝ่ายขายคนใหม่อีกด้วย
ท้ายที่สุด เอริคตัดสินใจลาออกจาก Nestle และหันมาเปิดบริษัทส่วนตัวที่ชื่อว่า Monodor ซึ่งยังคงผลิตกาแฟแคปซูลเหมือนเดิม แต่เขาออกแบบบรรจุภัณฑ์แบบใหม่ด้วยวัสดุที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
เอริคจัดการจดสิทธิบัตรกับนวัตกรรมชิ้นที่ 2 ของเขา และเสนอขายสิทธิ์ให้กับ Nestle แต่ก็ถูกปฏิเสธ เขาจึงเสนอขายลิขสิทธิ์ให้บริษัทกาแฟชื่อดังที่อื่นอย่าง Lavezza และ Migros แทน โดยเอริคตั้งเป้าไว้ว่า ในทศวรรษ 2010 ตลาดกาแฟแคปซูลจะเติบโตถึง 150,000 ถึง 200,000 ล้านต่อปี
นอกจาก Monodor แล้ว เอริคและภรรยาก็เปิดอีกบริษัทที่มีเชื่อว่า Tpresso ซึ่งมีคอนเซ็ปต์แบบเดียวกับกาแฟแคปซูลแต่เป็นในรูปแบบชา เอริคเลือกที่จะนำชาแคปซูลของเขาไปเจาะตลาดในจีน ก่อนที่ในท้ายที่สุดจะขายทั้ง 2 บริษัทให้กับบริษัทในประเทศบราซิล
เมื่อมองย้อนกลับไปในชีวิตการทำธุรกิจของเอริค ฟาร์บ เส้นทางอาจจะไม่ได้สวยหรูและมีจุดที่ล้มเหลวอยู่บ้าง แต่เขาก็สามารถสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่พลิกโฉมการกินกาแฟให้ทำได้ง่ายขึ้นและยังคงความอร่อยไว้ได้ มากกว่าครึ่งของแคปซูลกาแฟทั้งหมดที่ผู้บริโภคทั่วโลกซื้อนั้นมาจากสิ่งประดิษฐ์ของเขา แต่ที่แน่ๆ คือภรรยาของเอริคคงไม่กล้าหยอกล้อความเข้าใจในกาแฟของเขาอีกต่อไป…
อ้างอิง
Personal Branding คืออะไร? สื่อสารอย่างไร? ในวันที่ตัวตนสำคัญกว่าตัวแบรนด์

FacebookFacebookXXLINELine‘แบรนด์’ สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำธุรกิจ แต่หากเราพูดถึงการสร้างแบรนด์ในปัจจุบัน Personal Branding จะเป็นหนึ่งในหัวข้อที่หลายคนให้ความสนใจ และให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆแต่เมื่อพูดถึง Personal Branding…