J.W. Marriott: จากเด็กเลี้ยงแกะสู่เจ้าของเครือโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก

จอห์น วิลลาร์ด แมริออท จากเด็กเลี้ยงแกะสู่เจ้าของเครือโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก

รู้ไหมว่าเจ้าของเครือโรงแรมระดับโลกที่นักธุรกิจหลายคนต้องเคยมาพักไม่ได้มีชีวิตที่สวยหรูตั้งแต่เกิด แต่เขามองหาทุกโอกาสที่มีและสร้างมันจนประสบความสำเร็จขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง

จอห์น วิลลาร์ด แมริออท (John Willard Marriott) ผู้ก่อตั้งหนึ่งในเครือโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก “Marriott International” เป็นใคร มาจากไหน และกว่าเขาจะมาทำธุรกิจโรงแรมที่ประสบความสำเร็จระดับโลกเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าน วันนี้ Career Fact จะมาเล่าให้ฟัง

 

เด็กเลี้ยงแกะ

เริ่มต้นด้วยเรื่องราวเหมือนกับนักธุรกิจหลายๆคน ในช่วงศตวรรษที่ 20 แมริออทเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนในรัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกาเขาเป็นลูกชายของคนเลี้ยงแกะทำให้เขาต้องช่วยพ่อดูแลฝูงแกะตั้งแต่ 8 ขวบ เมื่ออายุ 14 ปีเขาเป็นคนนำแกะขึ้นรถไฟจากยูทาห์ไปขายในเมืองต่างๆ ไกลถึงซานฟรานซิสโกและโอฮามา

ด้วยความที่แมริออทนับถือคริสตศาสนานิกายมอร์มอนทำให้เขาต้องเดินทางออกไปประกาศพระกิตติคุณตอนอายุ 19 ปี เป็นเวลา 2 ปีที่เขาเดินทางไปนิวอิงแลนด์และสิ้นสุดที่วอชิงตันดี.ซี. แมริออทพบว่าหน้าร้อนในวอชิงตันนั้นร้อนมาก เขาคิดว่าถ้าเขาสามารถหาเครื่องดื่มที่เย็นสดชื่นมาขายได้น่าจะทำเงินได้ไม่น้อย แต่ความคิดนั้นก็ต้องหยุดชะงักไปเพราะเมื่อแมริออทเดินทางกลับบ้าน พ่อของเขาและคนเลี้ยงแกะอีกหลายๆ คนก็ล้มละลายเพราะเศรษฐกิจตกต่ำจนแกะไม่มีราคา

แมริออทเติบโตมาด้วยความยากจนและเขาเห็นความยากจนมามากพอแล้ว เขาจึงอยากสร้างอนาคตที่ดีกว่า แมริออทผู้ซึ่งเคยเรียนไม่จบมัธยมปลายจึงตัดสินใจกลับไปเรียนต่อให้จบ

แมริออทเรียนต่อที่ Weber State College ซึ่งเป็นวิทยาลัยชุมชนในเมือง Ogden เขาสอนวิชาเทววิทยาแลกกับค่าเล่าเรียนที่นั่น หลังจาก 2 ปีที่เวเบอร์แมริออทตัดสินใจย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยยูมาห์ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่กว่า และเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเทอม แมริออทเริ่มขายชุดชั้นในที่ทำด้วยผ้าขนสัตว์ให้กับคนตัดไม้ใน Pacific Northwest

 

เปิดร้านA&W

ระหว่างที่เรียนในมหาวิทยาลัยยูทาห์ ร้านรูทเบียร์ของ A&W ก็ได้มาเปิดในซอลท์เลคซิตี้ ด้วยความที่แมริออทประทับใจในความสำเร็จของ A&W บวกกับช่วงหน้าร้อนที่เขาเคยอยากจะขายเครื่องดื่ม แมริออทจึงตัดสินใจซื้อแฟรนไชส์ A&W มาเปิดในวอชิงตันดี.ซี.

เขาเปิดร้านรูทเบียร์ในฤดูร้อนปี 1927 ด้วยเงินเก็บ 1,500 เหรียญและกู้มาเพิ่มอีก 1,500 เหรียญ ด้วยความช่วยเหลือจากแอลลีภรรยาของเขา พวกเขาประสบความสำเร็จในการขายรูทเบียร์ในช่วงฤดูร้อน แต่เมื่อฤดูหนาวมาถึงยอดขายก็ลดลงอย่างชัดเจน เมื่อเขาตระหนักถึงข้อเสียของร้านน้ำอัดลมที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาลได้ A&W ก็อนุญาตให้แมริออทเพิ่มในส่วนของร้านอาหารและเปิดร้าน Hot Shoppes ของตัวเองทำให้ในฤดูหนาวระหว่างที่เขากำลังรอลูกค้าคนถัดไปอยู่ ภรรยาของเขาก็จะทำแซนวิชและบาร์บีคิวขายในร้านอาหารไปด้วย แล้วแจกคูปองรูทเบียร์ฟรี พร้อมกับขายอาหารคุณภาพในราคาที่ต่ำ

แมริออทหาทางขยายกิจการอยู่เสมอ เขาซื้อที่ดินเปล่าถัดจากร้าน Hot Shoppes แห่งหนึ่งของเขาและสร้าง Drive-in แห่งแรกของเขาขึ้น ผลการตอบรับจาก Drive-in เป็นที่น่าพอใจมาก ในไม่ช้า Hot Shoppes ทั้ง 3 ร้านของเขาก็กลายเป็นให้บริการแบบ Drive-in ความสำเร็จในครั้งนี้เป็นแรงผลักดันให้แมริออทเปิดร้าน Hot Shoppes เพิ่มอีกในวอชิงตันดี.ซี. รวมทั้งหมดเป็น 7 สาขาในปี 1932 และแมริออทก็เข้าใกล้กับการเป็นเศรษฐีขึ้นทุกที

ในปี 1937 แมริออทเปิดร้าน Hot Shoppes แห่งที่ 8 ซึ่งอยู่ใกล้กับสนามบิน เขาพบว่าลูกค้ามักจะมาซื้อข้าวกล่องเพื่อนำไปรับประทานบนเครื่องบิน เขาจึงผุดไอเดียในการขายข้าวกล่องโดยตรงให้กับสายการบิน จึงเป็นต้นกำเนิดของการเสิร์ฟอาหารบนเครื่องบินมาจนถึงทุกวันนี้ และในเวลาไม่ถึงปีแมริออทก็ได้ประสบความสำเร็จในการขายข้าวกล้องให้กว่า 20 เที่ยวบินต่อวัน

 

สร้างโอกาสในช่วงสงคราม

ในปี 1942 ขณะที่สหรัฐอเมริกากำลังเตรียมพร้อมกับสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ Hot Shoppe ของแมริออทกลับยังคงเปิดสาขาเพิ่มต่อไปจนมีสาขาทั้งหมด 24 สาขาในวอชิงตันดี.ซี. ฟิลาเดลเฟีย และบัลติมอร์ แม้สงครามจะทำให้ยอดขายลดลง แต่นั่นก็เป็นโอกาสครั้งใหม่ของแมริออทเช่นกัน แมริออทเริ่มเปิดโรงอาหารในสำนักงานรัฐบาลและโรงงานผลิตอาวุธสงคราม

เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ความเจริญรุ่งเรื่องของร้าน Hot Shoppes ก็กลับคืนมาอีกครั้ง ภายในปี 1953 จากร้านขายรูทเบียร์เล็กๆ ของแมริออท ก็ได้กลายเป็นร้านอาหารกว่า 56 แห่งที่ให้บริการลูกค้ามากถึง 30 ล้านคนต่อปี

 

เดิมพันครั้งใหญ่

หลังจาก 30 ปีในวงการอาหาร แมริออทก็ได้ลองเดิมพันครั้งใหญ่โดยการเปิดธุรกิจโรงแรมแบบโมเต็ลชื่อว่า The Twin Bridges บนที่ดิน 8 เอเคอร์ที่เขาเคยซื้อไว้ใกล้กับสนามบินวอชิงตันและร้าน Hot Shoppes ร้านที่ 8 ของเขา

ในช่วงนั้นผู้คนเดินทางมากขึ้น ทำเลโรงแรมของแมริออทกลายเป็นทำเลทองสำหรับโมเต็ล และการเติบโตของโมเต็ลดังกล่าวก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าความกังวลต่ออาหารและที่พักของครอบครัวชาวอเมริกันนั้นเกิดขึ้นจริง จึงทำให้ทั้งร้าน Hot Shoppes และ The Twin Bridges โตได้ดีมากๆ และด้วยมูลค่าของโรงแรมกว่า 7 ล้านเหรียญพร้อมกับ 370 เตียงจึงทำให้โมเต็ลของแมริออทได้กลายเป็นโมเต็ลที่ใหญ่ที่สุดในโลกใน ณ เวลานั้น

ในปี 1963 หลังจากที่แมริออททำงานอย่างหนักมากว่า 35 ปีเขาก็เริ่มคิดที่จะหาคนมาช่วยบริหาร โดยเขาตัดสินใจเลือกบิลล์ลูกชายคนโตของเขา 1 ปีต่อมาบริษัทได้เปลี่ยนชื่อเป็น Marriott Hot Shoppes Inc. และบิลล์ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานบริษัทโดยมีแมริออทเป็น CEO

ในปี 1967 บริษัทได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้งกลายมาเป็น Marriott Corp. และในปี 1968 บริษัทก็ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก

แมริออทยังคงขยายกิจการอย่างไม่หยุดยั้ง ในปีเดียวกันนั้นเองเขาได้ซื้อกิจการอาหารร้าน Big Boy และในปีต่อมาเขาก็ช่วยพัฒนาร้าน Roy Rogers เพื่อแข่งกับ McDonald’s นอกจากนี้เขายังได้เปิดตัว Sun Line Cruise Ships เรือสำราญสุดหรู Marriott World Travel และลงเงิน 250 ล้านเหรียญในการสร้างสวนสนุก Great America 3 แห่ง

บิลล์สืบทอดตำแหน่ง CEO จากแมริออทในปี 1972 ในช่วง 20 ปีหลังจากนั้นเครือโรงแรมของแมริออทยังคงขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการสร้างโรงแรมเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนักธุรกิจเป็นหลัก แมริออทยังคงเป็นประธานบอร์ดบริหาร แต่เรื่องงานประจำต่างๆ กลายเป็นหน้าที่ของบิลล์

 

อาณาจักรของแมริออท

เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 1985 จอห์น วิลลาร์ด แมริออทเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว แม้เขาจะจากไปแล้วแต่อาณาจักรที่เขาสร้างมาตลอดชีวิตก็ยังคงอยู่ ทั้งเครือโรงแรม เครือร้านอาหาร และครัวที่ให้บริการกับสายการบินกว่า 150 สายการบิน อาณาจักรของเขามีมูลค่ามากกว่า 3,500 ล้านเหรียญ และในปี 1999 Marriott International ก็ได้กลายมาเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการจ้างงานมากเป็นอันดับที่ 13 ของสหรัฐอเมริกา เป็นเครือโรงแรมที่มีห้องพักมาเป็นอันดับ 2 ของโลก และมีแฟรนไชส์มากกว่า 1,900 แห่งทั่วโลก

หลังจากนั้นเครือโรงแรมแมริออทก็ได้ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของเครือโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2016 โดยมีสาขากว่า 5,700 ใน 110 ประเทศทั่วโลกภายใต้ 30 แบรนด์อย่างเชอราตัน เมอริเดียน เวสทิน และเรเนซองส์

แมริออททำให้ทั้งโลกได้เห็นว่าแม้เขาจะเป็นเพียงเด็กเลี้ยงแกะที่บ้านเคยล้มละลาย แต่เขาก็เป็นคนที่พยายามมาเสมอจากการกลับไปเรียนให้จบ เปิดร้านรูทเบียร์เล็กๆ ช่วงหน้าร้อน จนได้กลายมาเป็นผู้ให้กำเนิดเครือโรงแรมระดับโลก “Marriott International” จนถึงทุกวันนี้

 

อ้างอิง
https://bit.ly/3yTXpfQ

 

สูตรความสำเร็จกับ "ที่สุด" ของประเทศ

คอร์สออนไลน์กับผู้บริหาร ผู้นำทางความคิด แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

Verified by MonsterInsights